My Liberation Notes ปล่อยใจสู่เสรี
รีวิวซีรีส์เกาหลี หลายคนอาจเคยได้ยินได้ฟังถึงปรัชญาชีวิตที่เอ่ยถึงความเรียบง่ายในการดำเนินชีวิตว่ามันคือเรื่องที่ควรเป็นและต้องการเป็น แต่ในสังคมโลกที่เทคโนโลยีพัฒนาไปไกลสุดขีดแบบนี้บางทีความเรียบง่ายในชีวิตอาจไม่ใช่เรื่องที่ใฝ่ฝันหรือพยายามจะเป็น หนังฟรี เพราะทุกอย่างมีสองด้านเสมอดังเช่นเทคโนโลยีที่บางคนอาจมองว่าทำให้คนห่างเหินกันแต่บางคนก็มองว่ามันคือสิ่งที่เชื่อมความสัมพันธ์ ความเรียบง่ายไปเรื่อยๆในชีวิตก็เช่นกันที่จะมีสองด้านของมันเสมอ ดูหนังออนไลน์
ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย
หนึ่งคือชีวิตปกติมีความสุขตามอัตภาพไม่ฟุ้งเฟ้อไม่ทะเยอทะยาน ดูหนังฟรี แต่อีกมุมหนึ่งกลับเป็นการถูกบังคับให้ชีวิตต้องเรียบง่ายเพราะการบีบรัดทางสังคมเศรษฐกิจ จนทำให้เหมือนต้องอยู่ในกรงขังของหัวใจที่ไม่อาจหลุดพ้นไปจากวังวนชีวิตเดิมๆและต้องใช้ชีวิตแบบนั้นแบบเดิมทุกวัน ความเรียบง่ายแบบนี้คงไม่ได้สร้างความสุขแต่อาจสร้างขื่อคาที่กดทับมนุษย์เอง
และเมื่อมันคือความเรียบง่ายที่สามารถพบเจอได้ตามร้านข้าวแกงหรือป้ายรถเมล์ กระทั่งหลายคนอาจเป็นเช่นนี้ที่ชีวิตวนเวียนอยู่กับกรอบที่เมื่อนานไปจะเริ่มตีกรอบทางความคิดและลุกลามไปยังหัวใจจนบางครั้งไม่กล้าแม้แต่จะมีความสุข การใช้ชีวิตทุกวันจึงเหมือนถูกโปรแกรมมาให้ทำเรื่องซ้ำๆไร้หนทางที่จะหลุดพ้น มองหาทางเป็นอิสรภาพทางใจไม่เห็นและที่น่าเจ็บปวดคือมันกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่ไม่มีใครใส่ใจใครไม่ต่างจากการเดินสวนกันบนทางเท้าในชั่วโมงเร่งด่วน เปรียบไปก็ไม่ต่างจากกลายเป็นพลวัตรทางสังคมที่ต้องถูกหยิบยกมาพิจารณาว่าการใช้ชีวิตของมนุษย์ปัจจุบันในภาวะสังคมได้สร้างมนุษย์ที่ด้านชาจนใบหน้าไร้รอยยิ้ม การหยิบเอาเรื่องของมนุษย์ที่ถูกบีบให้เป็นแบบนี้โดยไม่รู้ตัวจึงน่าสนใจแต่โจทย์ยากมันคือเรื่องมันธรรมดาสามัญเกินไปที่จะเล่าให้เร้าใจ แต่สุดท้ายก็มีคนเล่าได้ด้วยความสมจริงและสัมผัสได้ด้วยใจกับ My Liberation Notes
แนะนำตัวละคร
อีมินกิ รับบทเป็น ยอมชางฮี
พี่ชายคนกลางในบรรดาพี่น้อง 3 คนในครอบครัว ที่ไม่มีความฝัน และใช้ชีวิตไปวัน ๆ อย่างไร้จุดหมาย แม้ว่าเขาต้องการจะย้ายไปอยู่ในเมืองเพื่อสัมผัสรสชาติชีวิตที่ตื่นเต้น แต่ชีวิตของเขากลับไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ และแม้ว่าเขาอาจจะดูไม่มีวุฒิภาวะไปบ้าง แต่สิ่งต่าง ๆ ที่เขาพูด กลับมีตรรกะอย่างน่าประหลาดใจ
คิมจีวอน รับบทเป็น ยอมมีจอง
น้องสาวคนสุดท้อง ที่เป็นคนเก็บตัว ขี้อาย รู้สึกโดดเดี่ยว และรู้สึกว่าชีวิตที่ไม่เคยถูกเติมเต็ม อย่างไรก็ตามเธอพยายามจะปลดแอกจากชีวิตที่ไร้สีสันที่น่าเบื่อหน่ายของตัวเอง
ซนซอกกู รับบทเป็น มิสเตอร์กู
ชายแปลกหน้าผู้ลึกลับ ที่จู่ ๆ ก็มาปรากฏตัวในหมู่บ้านซานโพ ที่ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร และการมาปรากฏตัวในหมู่บ้านนั้นยิ่งน่าพิศวง เนื่องจากเมืองนั้นแสนน่าเบื่อถึงขั้นที่มีแต่คนออกไป แต่ไม่มีใครเข้ามาใหม่ ขณะที่เขาเมาหัวราน้ำอยู่ทุก ๆ วัน และรู้สึกหลงทางในชีวิต ยอมมีจอง ก็ได้เข้ามาในชีวิตของเขา
อีเอล รับบทเป็น ยอมกีจอง
พี่สาวคนโตผู้แสนหัวร้อน และมักจะทำตัวดีเฉพาะวันที่ได้เงินเดือนเท่านั้น ยอมกีจอง รู้สึกว่าตลอดชีวิตวัยรุ่นของเธอต้องมาเสียเวลาในทุก ๆ วันไปกับการเดินทางไปกลับระหว่างหมู่บ้านกับกรุงโซลเพื่อทำงาน และรู้สึกหมดหวังที่จะพบเจอกับความรัก
ยอมกีจอง (พี่สาวคนโต) ยอมชางฮี (พี่ชายคนกลาง) และ ยอมมีจอง (น้องสาวคนเล็ก) 3 พี่น้อง จากหมู่บ้านซันโพที่เป็นย่านชานเมืองของเกาหลีทั้งสามคนเกิดและเติบโตในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ ใช้ชีวิตในแต่ละวันหมดไปกับเดินทางไปทำงาน โดยเร่งรีบแต่เช้าตรู่ และเลิกงานกลับบ้านมาดึกดื่น “เป็นเช่นนี้ทุกวัน” จนทำให้ทั้งสามคนรู้สึกเหนื่อยหน่าย และโดดเดี่ยว ทว่า…ชีวิตก็เริ่มแตกต่างออกไป เมื่อจู่ ๆ มีชายลึกลับปรากฎตัวในหมู่บ้าน และมาอาศัยอยู่ใกล้กับบ้านของทั้งสามคน โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร มาจากที่ไหน ชื่อจริง ๆ ของเขาคืออะไร จะเรียกกันก็แค่ว่า “คุณกู” โดยเขาใช้ชีวิตอย่างเงียบ ๆ เมาหัวราน้ำแทบทุกวัน บางทีก็นั่งเฉย ๆ มองอะไรไม่รู้ทุกวัน ด้วยความที่ทำตัวแปลก ๆ นิ่ง ๆ ไม่ค่อยพูด และเหมือนมีความลับอะไรซ่อนอยู่
สำหรับใครที่มีโอกาสได้รับชมซีรีส์ เรื่องนี้ คงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ในอีพีแรก ๆ การเดินเรื่องช่างเชื่องช้าเสียจนเราเกือบเท เพราะดูจะไม่มีประเด็นหรือการปูเรื่องอะไรเลย แม้กระทั่งผู้เขียนเองก็เกือบจะเทแล้ว จนเนื้อเรื่องเริ่มทำงานของมัน คือ จะเรียกว่าเครื่องสตาร์ทติดก็เข้าสู่ Ep.3 แล้ว
การเดินเรื่องเล่ามาหลากหลายประเด็นที่ชวนให้ต้องดูต่อ เช่น ปริศนาของ คุณกู, ปมในใจและความลับบางอย่างของยอมมีจองที่ไม่กล้าจะบอกใคร หรือปัญหาและความสัมพันธ์ต่าง ๆ ของตัวละคร ที่ขมวดปมแบบค่อยเป็นค่อยไปช้า ๆ ตามสไตล์เรื่องนี้ ซึ่งกลับกลายเป็นเสน่ห์อีกแบบที่น่าค้นหา ทำเอาหลาย ๆ คน เฝ้าขอบจอทุกสัปดาห์เพื่อตามต่อค่ะว่า ท้ายที่สุดแล้วปริศนาจะเปิดเผย และคลี่คลายปมอย่างไร
My Liberation Notes ปล่อยใจสู่เสรี
การเล่าเรื่องที่ฉีกขนบการเล่าเรื่องสไตล์เกาหลีที่คนดูคุ้นเคย ด้วยการสร้างคาแรกเตอร์ของตัวละคร ให้มีความเป็นมนุษย์ที่สามารถจับต้องได้มากที่สุด ทั้งยังแตะโครงสร้างทางสังคมของเกาหลีระหว่างคนเมือง - คนต่างจังหวัด โดยเฉพาะวิถีคนทำงานที่มีบ้านอยู่แถบชานเมือง เช่น 3 พี่น้องที่ต้องเดินทางเข้าเมืองเพื่อไปทำงานทุก ๆ วัน ซึ่งเราจะเห็นถึงความเหน็ดเหนี่อยจากการเดินทางระหว่างชานเมืองมุ่งตรงสู่โซลที่เป็นเมืองหลวง ปัญหาการเข้าสังคมทำงานในบริษัทที่ผู้คนต้องเผชิญ และต้องก้าวผ่านปัญหาเหล่านี้ไปให้ได้ในทุก ๆ วัน ทำให้คนดูอินกับการเล่าเรื่องได้ไม่ยากนัก ถึงแม้เรื่องความรัก การหาคู่ชีวิตจะเป็นปัญหาโลกแตกของทุกคน ยิ่งกับยอมมีจองด้วยแล้วที่มีบุคลิกแบบอินโทรเวิส (Introvert) ถือเป็นกำแพงขนาดใหญ่ซะจนตัวเธอก็ไม่รู้ว่าจะข้ามผ่านมันไปได้หรือเปล่า
ท่ามกลางความสงสัยของคนในครอบครัวเรื่องความเป็นมาของคุณกูนั้น กลับไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์ของทั้งคู่เลย แต่ค่อย ๆ ก่อร่างสร้างความรู้สึกดี ๆ แก่กัน โดยที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้สึกและรับรู้ได้ นี่เป็นสิ่งที่ผู้เขียนคิดว่า มันดูเรียล หรือ สมจริงในเรื่องความสัมพันธ์ในแบบคนจริงๆ ที่ไม่ใช่ตัวละครในนิยายหรือซีรีส์ การไม่โกหกตัวเองว่า ต่างคนรู้สึกอย่างไร และแสดงออกไปตรง ๆ อย่างนั้น แทบจะหาดูได้ยาก เพราะซีรีส์ที่ผู้เขียนเคยดู จะแสดงความรักแบบเล่นใหญ่ไฟกระพริบ เช่น การเซอร์ไพร์สคู่รักต่อหน้าสาธารณชน หรือ ตามโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ซึ่งผู้เขียนเองก็ไม่ได้มองว่าผิดและไม่ได้ก้าวล่วงคนที่ชอบแสดงความรักให้สังคมเห็น เพราะความรักเป็นเรื่องของคนสองคนที่จะรับรู้และสัมผัสมันได้จากหัวใจของกันและกัน เท่านี้น่าจะเพียงพอแล้ว
ถ้าจะให้เชิดชูคนเขียนบทคิมซอกยูนจากบทละครเรื่องนี้ต้องคารวะในการใส่ใจในทุกรายละเอียด เพราะชื่อเรื่องตั้งโจทย์ไว้ว่า My Liberation Notes ที่แปลตรงๆได้ว่า “บันทึกอิสรภาพของฉัน” ซึ่งมันคือการถ่ายทอดบันทึกชีวิตที่ถูกกักขังด้วยชีวิตจนมองไม่เห็นทางออกและไร้สิ้นจินตนาการเรื่องความสุข แล้วเล่าไปเรื่อยๆมีจุดเปลี่ยนคือคนที่ไม่น่าจะมีจุดเปลี่ยนคือคุณกูที่ดูชีวิตไร้เป้าหมายแต่ดูเหมือนชีวิตมีอิสระทางใจมากกว่าสามพี่น้องที่ทุกคนมีเป้าหมายในชีวิตแต่เป้าหมายในชีวิตกลับมาบีบรัดจนชีวิตติดกับดัก ความยอดเยี่ยมของบทละครคือการไม่พยายามนั่นคือเล่าชีวิตคนให้เห็นภาพชีวิตจริงไม่ใช่นิยายหรืออาจเรียกได้ว่านี่คือชีวิตคนที่ไม่ใช่ละครได้ด้วยซ้ำ เพราะถูกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้จริงในชีวิตคนจริงๆแค่อาจต่างบริบทกันเท่านั้น บทจึงออกมาละเอียดละเมียดค่อยๆเล่าให้ซึมลึกเก็บเกี่ยวทุกความรู้สึกทางอารมณ์เพื่อประกาศอิสรภาพในบทสรุป
การเขียนบทเรื่องนี้ดีมาก
ต้องปรบมือให้กับผู้กำกับและผู้เขียนบท คือ การพาคนดูไปทำความรู้จักและทำความเข้าใจ กับคนที่มีลักษณะเป็น อินโทรเวิส (Introvert) ให้มากขึ้น แบบไม่ยัดเยียดหรือเป็นวิชาการอะไรจนยากจะเข้าใจ โดยจะเห็นได้จากฉากที่บริษัทต้องการให้พนักงานทุกคนเข้าร่วมชมรมอะไรสักอย่างหลังเลิกงาน เพื่อหวังกระชับความสัมพันธ์ของพนักงานให้แน่นแฟ้นขึ้น ทว่ากลับกลายเป็นปัญหาของกลุ่มคน Introvert เพราะกลุ่มคนส่วนใหญ่มักมองคนที่เป็น Introvert คือ คนชายขอบของสังคม หรือมองเป็นคนที่ไม่เอาสังคม เอาแต่ตัวเอง มีปัญหาทางมนุษย์สัมพันธ์ ฯลฯ ซึ่งเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ เหล่านี้ ซีรีส์จะแสดงให้เราเห็นถึงความจริงของพวกเขาว่า ท้ายที่สุดแล้วคน Introvert ก็เหมือนกับเราทุกคน แค่ต้องการพื้นที่ของตัวเอง ในแบบที่ตัวเองสบายใจ ความเข้าใจจากสังคม
ความฉลาดอีกอย่างของบทละครเรื่องนี้คือจินตนาการ บทเลือกเล่าด้วยการสื่อความหมายด้วยภาพและบทสนทนาที่ไม่พร่ำเพรื่อให้คนดูคิดไปเอง ความละเอียดของบทเล่าได้ดีในทุกฉากทุกซีนแม้กระทั่งการนั่งล้อมวงกินข้าวที่อาจเหมือนไม่มีอะไรแต่จะมีผลทางใจเมื่อถึงจุดหนึ่ง เพราะการนั่งกินข้าวกันเงียบๆอาจบอกถึงความเหนื่อยล้าที่จะเอ่ยปาก การนั่งกินข้าวด้วยกันได้ผูกสัมพันธ์ระหว่างคนที่ไม่มีจุดหมายในชีวิตกับคนที่เต็มไปด้วยจุดหมายแต่จัดระเบียบไม่ได้อย่างยอมชางฮี และผูกสัมพันธ์กับครอบครัวนี้จนคุณกูไม่ต่างจากคนในครอบครัวซึ่งส่งผลในตอนท้ายเมื่อยอมชางฮีนั่งรอคุณกูที่ลานจอดรถเพื่อแจ้งข่าว จนคนดูเอาใจช่วยว่ายอมชางฮีจะได้เจอพี่ชายที่เคารพสักครั้งหรือไม่ซึ่งมันคือตัวอย่างของการใส่รายละเอียดเล็กน้อยมาสื่อสารได้จับหัวใจคนดูโดยไม่รู้ตัว จนเมื่อรู้ตัวก็รู้สึกไปแล้วจึงทำให้เรื่องที่ดูเรียบเรื่อยแต่ไม่อาจมองข้ามได้แม้แต่บทสนทนาเดียว
เมื่อบทเล่าด้วยรายละเอียดเล็กน้อยคนดูจึงจินตนาการ เพราะเรื่องเล็กน้อยแบบนี้มันคือรายละเอียดของการใช้ชีวิตที่ธรรมดาเกินไป ปกติเกินไป เรียบง่ายเกินไปและสามัญเกินไปจนทำให้มองข้ามรายละเอียดเหล่านี้ไปทั้งทางสายตาและทางใจ เมื่อรายละเอียดเหล่านี้ถูกบอกออกมาผ่านบทที่เหมือนคนพูดน้อยแต่หัวใจเต็มไปด้วยรายละเอียด การเอ่ยออกมาแต่ละคำจึงเจาะเข้ากลางใจทำให้คนดูรู้สึกว่ามันใช่เพราะนี่คือชีวิต ทำให้การเล่าเรื่องหรืออธิบายบางอย่างไม่ต้องเล่าให้ยากใช้เวลาไม่กี่นาทีหรือคำบอกเล่าไม่กี่คำพูดบอกกับคนดูเช่นเรื่องของยอมชางฮีกับจีฮยอนอา และแน่นอนที่คงไม่มีใครลืมได้กับความสามัญเกินไปในบ้านจนทุกคนลืมตระหนักว่าแท้จริงแล้วใครคือเสาหลักของบ้าน ใครคือกลไกขับเคลื่อนชีวิตในบ้าน ใครคือชิ้นส่วนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของแต่ละคน แม้จะเป็นเรื่องสัจธรรมแต่บางอย่างก็มีค่าทางใจเกินกว่าสิ่งใดจะทดแทนได้และพ่อรู้ดีที่สุด
เช่นเดียวกับเหรียญที่ไม่ตกท่อที่ต้องชมว่าเรื่องแค่นี้ยังคิดได้เมื่อบางครั้งจุดเปลี่ยนในความคิดคนอาจมาง่ายๆกับเรื่องง่ายๆ เหมือนยอมชางฮีที่ได้พบทางของตัวเองเมื่อเข้าห้องบรรยายผิด ยอมกีจองที่ได้พบรักแท้ที่โหยหามานาน ยอมมีจองได้เริ่มชีวิตใหม่ที่ชีวิตไม่ล่มสลายเพราะคุณกูเชิดชูไว้ และเหรียญนั้นก็อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของคุณกูที่เป็นบทสรุปที่ทรงคุณค่าเพราะเมื่อย้อนกลับไปที่ความอึมครึมบนโต๊ะกินข้าวช่วงต้น บทสรุปได้ชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือ และเมื่อมันคือบันทึกอิสรภาพแล้วทุกคนได้โบยบินสู่อิสรภาพเรื่องก็สรุปได้ลงตัวไม่ว่าคุณกูจะเอาเงินที่ถือมาไปคืนหรือหอบเงินหนีไปใช้ชีวิตใหม่กับยอมมีจอง เขาก็ได้เป็นอิสระจากปมในใจที่มีแล้วด้วยความยอดเยี่ยมของบทที่เปิดให้จินตนาการต่อไป แต่ผู้เขียนกลับมองเห็นภาพคุณกูคืนเงินให้ท่านประธานแล้วมาทำโรงงานแทนพ่อพร้อมกับใช้ชีวิตที่เรียบง่ายกับยอมมีจอง เพราะในโลกของคุณกูไม่มีทางหนีพ้นถ้าไม่เคลียร์เรื่องข้างหลังและคุณกูไม่มีทางให้เรื่องมาถึงยอมมีจอง
การเขียนบทในส่วนของตัวละครคือความกร้านชีวิต ถ้านับกันที่สิ่งที่ติดอยู่ในใจตัวละครทุกคนมารวมกันแล้วสามารถถักทอออกมาเป็นตัวละครที่ดูเหมือนธรรมดาแต่ลึกได้ขนาดนี้ จินตนาการไม่ออกเลยว่าคนเขียนบทต้องผ่านโลกผ่านชีวิตที่กร้านมาขนาดไหน ถ้าไม่นี่ก็คือการทำงานหนักมากที่จะสัมผัสชีวิตผู้คนมากมายจนได้ตัวละครที่มิติมีความลึกบนฉากหน้าที่ปกติธรรมดาได้ปานนี้ เพราะปัจจุบันมีคนจำนวนไม่น้อยหรืออาจส่วนมากด้วยซ้ำที่ใช้ชีวิตแบบที่เห็นในเรื่อง ต่อมาที่ต้องเชิดชูคือการใส่รายละเอียดการใช้ชีวิตเพื่อจุดหมายที่ไม่ใช่จุดหมายทางรูปธรรม แต่เป็นนามธรรมคือปลดปล่อยหัวใจตัวเองจากกรงที่กักขังที่สร้างมาด้วยตัวเอง และรายละเอียดที่ถี่ยิบก็ดูเป็นชีวิตคนจริงผ่านการถ่ายทอดที่สมจริงทำให้เรื่องนี้ไม่มีตัวละครที่น่ารำคาญแม้แต่คนเดียว กลับกันต่อให้เป็นตัวละครแถวสองแถวสามก็ยังเป็นที่รักหรือที่ชังแต่ไม่ใช่น่ารำคาญ
ในส่วนของการแสดงนี่คือเรื่องที่ไม่สามารถอวยใครได้มากกว่ากันเพราะแต่ละคนยอดเยี่ยมไม่ต่างกัน ไม่มีใครเด่นกว่าใครทั้งซนซุกกู , คิมจีวอน , อีมินกิและอีเอลที่อยู่แถวแรก ก็ใช่ที่แกนของเรื่องที่อาจเป็นแก่นของเรื่องคือบันทึกอิสรภาพของยอมมีจองซึ่งก็คือเรื่องของยอมมีจอง แต่บทคุณกูคือจุดเปลี่ยนในใจของสามพี่น้องโดยเฉพาะยอมชางฮีที่มีผลกระทบแรงกว่าคนอื่น ทำให้มิติของเรื่องได้ถูกเฉลี่ยให้แต่ละคนมีเรื่องราวของตัวเองที่สัมผัสกับคุณกูในแง่มุมที่ต่างกัน เริ่มต้นอาจเป็นเรื่องของยอมมีจองกับคุณกูที่เป็นด้านหน้า แต่ข้างหลังก็มีเรื่องของยอมกีจองที่มองเห็นความสัมพันธ์ของน้องสาวกับผู้ชายที่ดูไม่มีดีอะไรเลยอย่างคุณกู และมันทำให้ไปสะกิดต่อมความรักในหัวใจเพื่อเปลี่ยนมุมมองกับความรักที่โหยหา แล้วในส่วนของยอมกีจองทุกอย่างมันสม่ำเสมออาจไม่ได้โผล่มาจนเด่นล้ำแต่ก็ไม่หายไปจนสุดท้ายมีบทสรุปที่เธอก็พบคนที่ใช่เสียที
แต่กับยอมชางฮีคือคุณกูได้เปลี่ยนชีวิตคนที่มีขาผีอยู่ถูกที่ถูกเวลาไปตลอดกาลเพราะยอมชางฮียอมรับและเคารพคุณกูหมดใจ น่าเสียดายที่บทใจร้ายที่ไม่ให้เขาได้เจอกับพี่ชายที่เคารพจนคนดูแอบเจ็บปวด แต่นั่นอาจลงตัวเพราะถึงที่สุดทุกคนก็ได้มีอิสรภาพในแบบที่ต่างกันไปด้วยการแสดงที่เห็นพัฒนาการชัดเจน จากสีหน้าอมทุกข์ในตอนเริ่มต้น แล้วค่อยๆดูผ่อนคลายเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป จริงอยู่ที่บทสนทนาไม่ออกมาพร่ำเพรื่อแต่ความคมคายที่มีได้เผยทัศนคติในตัวละครออกมาอย่างสัมผัสได้ หรือถ้าจะคิดง่ายๆคือเมื่อมองย้อนไปจะเห็นว่ารอยยิ้มของทุกคนเริ่มเปลี่ยนไปจากเริมต้นที่แทบไม่มีการพูดจาหน้าตาปราศจากรอยยิ้ม จนเวลาผ่านไปเริ่มพูดมากขึ้นเหมือนได้ระบายอะไรที่มันอัดอั้นการแสดงออกทางสีหน้าก็เริ่มผ่อนคลาย จนสุดท้ายทุกคนมีรอยยิ้มที่แท้จริงและมันค่อยๆเปลี่ยนจนถ้าไม่สังเกตหรือไม่นึกย้อนกลับไปจะไม่เห็นเพราะมันคือการแสดงที่เป็นธรรมชาติ
ด้วยความละเอียดที่เรียบง่ายธรรมดาทำให้ทุกตัวละครเป็นที่รัก ไม่เว้นแม้แต่ตัวละครแถวสองอย่างบทพ่อ,แม่(อีคยองซอง) เพื่อนของยอมชางฮีอีกสองคนคือน้องหนวดดูฮวาน (ฮันซังโจ) กับน้องแว่นจองฮุน (โจมินกุก) และจีฮยอนอา (จอนฮเยจิน) หรือกระทั่งแถวสามลงไปอย่างเพื่อนที่ทำงานที่อาจไม่เป็นที่รักทุกคนตามสภาพความเป็นจริง แต่ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเจอเพราะในที่ทำงานมักมีคนแบบที่เห็นซึ่งที่ควรรักก็รักที่ควรชังก็ชัง มันคือการใส่รายละเอียดที่เป็นรากฐานที่แข็งแรงให้ตัวละครหลักเพราะรายละเอียดแบบนี้แหละที่จะกลายเป็นกรอบที่จะเป็นกรงในเวลาต่อมา แล้วเมื่อดูจบก็ยอมรับว่าเยี่ยมทุกคนแต่ถ้าจะให้เลือกคงเลือกอีมินกิด้วยความที่มีช่วงเวลาที่น่าจดจำมากมายในช่วงท้าย และความน่าสงสารกับการที่ขาผีของเขาพาเขาไปเจอกับเรื่องสะเทือนใจมากมาย และนี่อาจเป็นการแสดงที่ธรรมดาจนเหมือนไม่ใช่การแสดงที่สุดอีกเรื่องที่ต้องเชิดชู
หากจะให้พูดง่ายๆ เรื่องนี้ก็เหมือนนั่งอ่านบทกวีปรัชญาชีวิตที่อาจเรียบง่ายดูธรรมดาแต่มีความหมายทุกถ้อยคำทุกบรรทัด ซึ่งถ้าจะให้เขียนให้ครบทุกมิติคงเป็นไปไม่ได้จึงต้องขออภัยท่านผู้อ่านที่บทความนี้อาจไม่ครบถ้วนในความประทับใจ แต่ไม่แน่ถ้ามีเวลาดูไปบ่นไปอาจมาเขียนเป็นความเห็นพิเศษเหมือนที่เคยทำมา เพราะในแต่ละเรื่องราวของแต่ละคนคือการบอกเล่าถึงชีวิตคนที่ต้องเจอกับความจริงในชีวิตที่อาจไม่รุนแรงโหดร้าย แต่มันเหมือนกับการหยดยาพิษที่ฤทธิ์อาจไม่แรงแต่เมื่อมันคอยๆซึมเข้าสู่ร่างกายก็มีผล ซึ่งมันก็คือชีวิตที่ต้องเจอกับเรื่องเล็กน้อยที่อาจดูไม่น่าใส่ใจเช่นการถูกนินทาหรือนั่งฟังคนขี้บ่น (เหมือนผู้เขียน) ที่บางอารมณ์ก็ไม่อยากรับรู้แต่ต้องรับรู้มันก็คือหยดยาพิษหยดเล็กๆที่ซึมเข้าสู่หัวใจ และที่น่าทึ่งคือเรื่องนี้เล่าผ่านบทที่ค่อยๆหยดมิติทางใจลงทีละน้อยจนซึมซับซึมลึกเก็บเกี่ยวทุกห้วงอารมณ์ในทุกอณูของหัวใจ
My Liberation Notes ปล่อยใจสู่เสรี
ทำให้เรื่องออกมาดูเรียบเรื่อยหมิ่นเหม่กับความเอื่อยในช่วงแรกแต่น่าแปลกที่หยุดดูไม่ได้ และถ้าถามว่าสนุกหรือไม่ก็ยังตอบลำบากเพราะมันดูอึมครึมหม่นหมองดูไม่เห็นความสุขในชีวิตแต่ก็เหมือนต้องติดตามชีวิตคนทั้งสี่คนว่าทำไม เพราะอะไร และพวกเขาจะหลุดพ้นไปได้อย่างไร ทุกฉากทุกตอนหรืออาจจะทุกบทสนทนาก็ยังได้จึงมีความหมายให้ตีความเพราะเหมือนเปิดทางไว้เสมอมา จึงกลายเป็นว่าเรื่องที่ไม่น่าจะบันเทิงกลับเกาะกุมเก็บเกี่ยวหัวใจได้ความรู้สึกร่วมของคนดูไปทั้งใจโดยที่คนดูไม่ทันรู้ตัวอย่างร้ายกาจ จนแม้กระทั่งบทสรุปยังกล้าเปิดไว้ให้จินตนาการว่าพวกเขาจะไปต่อยังไงทำให้คนดูคิดไปต่างๆนาๆจนถอนตัวจากความรู้สึกร่วมกับเรื่องนี้ลำบาก แต่เมื่อชื่อเรื่องมันบอกไว้ว่า “ปล่อยใจสู่เสรี หรือ บันทึกอิสรภาพของฉัน” แล้วบทสรุปคือทุกคนได้ปลดเปลื้องมันลงเพื่อใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข มันก็คือบทสรุปที่ลงตัวสวยงามแล้วจึงเป็นอีกเรื่องที่ต้องประทับตราว่า “อย่าเพิ่งตายถ้ายังไม่ได้ดู”