รีวิวหนัง สไปเดอร์แมน: โน เวย์ โฮม เสิร์ฟความมันให้ทุกท่านได้ดู

พูดได้เต็มปากเลยว่า ภาพยนต์เรื่อง Spider-Man: No Way Home สไปเดอร์แมน: โน เวย์ โฮม เป็นหนังใหม่ พากย์ไทย ที่ควรค่าแก่การดูมาก เรื่องราวความวุ่นวาย ความสนุกตื่นเต้น ที่ครบรส บอกได้เลยว่าไม่ได้ดูจะถือว่าพลาดมาก วันนี้เรามาฟังรีวิว เรื่องนี้กันดีกว่าหรือถ้าใครดูแล้ว อยากดูอีกก็ดูได้ที่ ดูหนังใหม่ของเราได้เลย

เรื่องย่อ

เรื่องย่อ Spider-Man: No Way Home ได้เล่าเรื่องราวสานต่อจากที่ทิ้งเอาไว้ในภาคก่อน เมื่อไอ้แมงมุมไม่ต้องซ่อนตัวใต้หน้ากากอีกต่อไป และเขาไม่สามารถแยกชีวิตในฐานะซูเปอร์ฮีโร่ออกจากชีวิตปกติได้อีกต่อไป กลายเป็นความยุ่งเหยิงในชีวิตโดยแท้ ทำให้เขาตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือจากด็อกเตอร์สเตรนจ์ แต่ปรากฏว่าทุกอย่างดูเหมือนจะวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม และบีบบังคับให้เขาต้องหาทางแก้ไข พร้อมทั้งเฝ้าหาความหมายที่แท้จริงของหน้าที่การเป็นสไปเดอร์แมน

สไปเดอร์แมน: โน เวย์ โฮม

วิจารณ์หนัง สไปเดอร์แมน: โน เวย์ โฮม

แน่นอน เราทุกคนรู้เกี่ยวกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ Marvel เรื่อง Spider-Man: Nowhere ทุกอย่างในหนังเรื่องนี้จึงกลายเป็นกำไรของคนดูอย่างเรา เพราะไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าจะได้ดูหนังซุปเปอร์ฮีโร่แบบนี้อีก

ก่อนอื่นฉันอยากจะปรบมือให้กับผู้ที่พยายามหลีกเลี่ยงการสปอยล์ รอพิสูจน์ด้วยตาตัวเองในโรงว่าพวกคุณเก่งจริงไหม เพราะ Spider-Man: No Way Home พากย์ไทย ก็เป็นหนังมาร์เวลเรื่องหนึ่งที่ไม่สปอยล์ ในช่วงไม่กี่นาทีแรกของการแสดง ไข่อีสเตอร์ถูกโยนขึ้นไปในอากาศไม่หยุด ตลอดระยะเวลากว่า 2 ชั่วโมงของภาพยนตร์ มีบางสิ่งที่ทำให้ผู้ชมประหลาดใจ

แน่นอนว่าการเขียนรีวิวภาพยนตร์นั้นยากเป็นพิเศษ เพราะฉันต้องหลีกเลี่ยงการสปอยล์หนัง ดังนั้นถ้าใครแอบไปเจอคนสปอยล์เนื้อหาบทความนี้…ก็ไม่น่าจะมีใครเห็น แต่ถือได้ว่า “Spider-Man: No Way Home” ค่อนข้างกล้าที่จะสานโครงเรื่องในภาค หน้าจอ. สิ่งนี้จะส่งผลต่อโครงการต่อไปใน Marvel Universe เมื่อสายนี้ถูกหยิบขึ้นมา นี่เป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างยิ่ง

สไปเดอร์แมน: โน เวย์ โฮม

บทหนังของเรื่องนี้

Spider-Man: Nowhere บทยังไม่ดีที่สุด แต่เพราะแก่นแท้และแก่นของเรื่องก็ทรงพลังเช่นกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องดีที่มีส่วนประกอบต่างๆ ที่ช่วยอุดรอยรั่วต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งเรื่อง บางทีก็แอบรู้สึกว่าหนังยาวไปหน่อย บางจุดสามารถกระชับมากยิ่งขึ้น

แม้ว่าผลงานนี้จะเสร็จสมบูรณ์ภายใต้วิสัยทัศน์ของผู้กำกับ Jon Watts แต่ก็ยังค่อนข้างน่าพอใจ เขารู้แนวทางและจังหวะการเล่าเรื่องของแฟรนไชส์ดี แม้ว่าจะมีคำถามที่น่าทึ่งมากขึ้นในแผนกนี้มากกว่าในแผนกก่อนหน้า แต่ในแง่ของความเป็นแอคชั่น คอมเมดี้ และดราม่า กลับผสมผสานกันอย่างลงตัว และให้รสชาติที่กลมกล่อมแก่ผู้ชมผ่านมุมภาพและมุมกล้อง การออกแบบรวมถึงส่วนต่างๆ นั้นน่าประทับใจ

“ทอม ฮอลแลนด์” ที่โตขึ้นในบทไอ้แมงมุมในภาคนี้อย่างชัดเจน จึงกลายเป็นข้อดีที่ได้เห็นพัฒนาการของคาแรกเตอร์นี้ด้วย หนังยังมีส่วนประกอบของการก้าวข้ามวัยอยู่ และทอมก็ยังสามารถถ่ายทอดออกมาได้ดี พร้อมกับยังแบกหนังเอาไว้ทั้งเรื่องได้สบายๆ เช่นเดียวกับ “เซนดายา” และ “เจคอบ บาตาลอน” ที่มาร่วมสมทบและส่งเสริมประคับประคองหนังเอาไว้ในรูปแบบทีมเวิร์ก

ทางด้าน “เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์” ที่ตอนแรกก็นึกว่าจะมาทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงไอ้แมงมุมคนใหม่ แต่กลับมีรายละเอียดที่มากไปกว่านั้น และเขาก็ยังกลับมารับบทเป็นหมอแปลกที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ที่ขับคาแรกเตอร์ออกมาได้อย่างล้นหลาม ไม่เพียงเท่านั้น ภาคนี้ยังเพิ่มมิติและให้ความสำคัญกับตัวละครของ “มาริสา โทเม” กับ “จอน ฟาฟวโร” อย่างมีน้ำมีนวลมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

Good Neighbor ดูเหมือนว่า “Spider-Man” เริ่มยิ่งใหญ่ขึ้นในแต่ละครั้งหลังจากเล่นเป็นฮีโร่รองในสองภาคแรก ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำหน้าที่เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในช่วงของ MCU ลิขสิทธิ์ทั้ง 4 เรื่อง หรือ ‘ลิขสิทธิ์หลายมิติ’ (Multiverse) ที่เป็นรากฐานของเรื่องราวได้ขยายขอบเขตของการเล่าเรื่องออกไปนอกเหนือไปจากแนวแอ็กชันแบบดั้งเดิม ตอนนี้มีซีรีส์ของ Disney+ ที่เป็นรากฐานสำหรับเรื่องนี้ รวมถึง “โลกิ” และการ์ตูน “What If…?” ลิขสิทธิ์เป็นแกนหลักและความโกลาหลมากมายที่เหล่าฮีโร่ต้องนำทาง ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ความโกลาหลดูเหมือนจะแสดงออกมา เห็นได้ชัดว่า Spider-Man เป็นหนึ่งในฮีโร่กลุ่มแรกๆ ที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความโกลาหลนี้

สไปเดอร์แมน: โน เวย์ โฮม

ในส่วนของเรื่องราวความวุ่นวายภาคนี้

สำหรับเนื้อเรื่องภาคนี้จะต่อจากบทส่งท้ายภาคที่แล้ว (Spider-Man: Far From Home (2019)) หากคุณยังไม่เคยดู คุณต้องขอเบรกไว้ก่อนแล้วค่อยไปดู (มีทั้งสองเรื่องใน HBO GO) เนื่องจากเนื้อเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้จะเริ่มต้นด้วยเครดิตตอนจบหลังจาก Spider-Man เอาชนะ Mysterio (Jake Gyllenhaal)

Mysterio เริ่มต้นความคลั่งไคล้ขั้นสุดท้ายด้วยการโพสต์คลิปข่าวปลอมบนจอ LED กล่าวหาว่า Peter ฆ่าเขาอย่างโหดเหี้ยม และกล่าวหาว่า Peter O อ้างว่าเป็น Iron Man คนต่อไป ข่าวนี้ไปถึงหูนักข่าวอินเทอร์เน็ต J. Jonah Jameson (J.K. Simmons) TheDailyBugle.net เปิดเผย (อ้างอิงจาก Mysterio) ว่าทั้งโลกรู้ว่า Spider-Man คือ Peter Parker

ในภาคนี้แน่นอนว่ามีปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ เพื่อนบ้านที่ดี การตีตราจากข่าวปลอมทำให้ชีวิตลำบากมาก Marisa Tomei) ก็ประสบปัญหาเช่นกัน ปีเตอร์จึงต้องขอความช่วยเหลือจากด็อกเตอร์สเตรนจ์ “ด็อกเตอร์สเตรนจ์” (เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบทช์) ช่วยเสกคาถาลบความทรงจำเกี่ยวกับปีเตอร์ของผู้คน ปาร์คเกอร์เป็นสไปเดอร์แมน แต่มีบางอย่างผิดพลาด วายร้ายจากจักรวาลแอบเข้ามาในโลกของปีเตอร์ ปาร์กเกอร์จนดังเป็นพลุแตกในจักรวาล

เนื้อเรื่องถือว่าทำออกมาได้ดีทีเดียว

ในส่วนของเนื้อเรื่อง ภาคนี้ยังมีรสชาติ กลิ่น และธีมของหนังเรื่องก่อนๆ โดยเฉพาะองก์แรก ซึ่งผู้กำกับอย่าง “จอน วัตส์” เซ็นสัญญากำกับซีรีส์เรื่องนี้จนกลายเป็นไตรภาค ยังคงแฝงไปด้วยกลิ่นอายของวัยรุ่น ซ่อนเร้นปี เรื่องราววุ่นวาย สิบห้า สิบหก ง่อยๆ มุกตลก แอคชั่นห่ามๆ และหนังแนว Coming-of-Age ที่คุณต้องเริ่มต้นเมื่อมาถึงสาขานี้ ชื่นชมแนวทางของ มีการบอกเล่าเรื่องราว เพราะภาพยนตร์สามารถขยายระดับการเล่าเรื่องจากเล็กไปหาใหญ่ได้ ในระดับจักรวาล ละเอียดมาก นั่นอาจทำให้เรื่องราวช้าลงเล็กน้อยในองก์แรก ฉากแอ็คชั่นกระตุ้นภาพอย่างต่อเนื่อง แต่สคริปต์นั้นฉลาดและราบรื่นโดยไม่มีการขัดจังหวะและเสียสมาธิ

รวมทั้งการที่ตัวบทเริ่มจะกระชับพื้นที่โดยไม่ไปเล่าถึงตัวละครและภารกิจอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเป็นฮีโรของปีเตอร์มากนักเหมือนอย่างในภาคที่แล้ว ทำให้ตัวหนังจะเริ่มโฟกัสเฉพาะภารกิจของปีเตอร์ เอ็มเจ เน็ด หมอแปลก เหล่าวายร้ายทั้ง 5 และป้าเมย์เท่านั้น อีกจุดที่ถือว่าฉลาดคือ ต่อให้ตัวหนังในครึ่งหลังจะเริ่มบิดไปเป็นหนังแอ็กชันแบบเต็มสูบ แต่หนังก็ยังรักษาแกนการเล่าเรื่องแบบ Coming Of Age

ที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้อยู่ นั่นก็คือเรื่องของการพยายามจะลบความทรงจำของผู้คนนั่นเอง เพราะนอกจากปีเตอร์จะต้องรับผลพวงจากความผิดพลาดจากการร่ายมนต์แล้ว เขายังต้องรับผลพวงใหญ่ในการบังอาจไปแทรกแซงมัลติเวิร์ส และตอนท้ายก็ลากเส้นมาขมวดจบที่ปีเตอร์เองก็ต้องยอมรับผลกระทบที่เกิดจากการพยายามลบความทรงจำนั้นด้วย

การบรรลุนิติภาวะในครั้งนี้ไม่ใช่แค่การต่อสู้กับวายร้ายเท่านั้น แต่เขาต้องยอมรับสิ่งที่เขาเลือก ณ จุดนี้ ฉันรู้สึกขอบคุณที่สามารถรักษาแกนหลักนี้ไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ปูเรื่องมาก็น้ำตาซึมแถมเป็นตอนจบที่ตลกและให้แง่คิดมาก ชีวิต Peter Parker จากนี้ไปเลือกทางเดินนี้และยอมรับผลที่ตามมา แต่อยู่ดีๆ ตัวตนของ Peter Parker และ Spider-Man จะอยู่ยังไง? ช่างน่าสะเทือนใจในบั้นปลายชีวิตของเขาเสียจริง

โครงเรื่องของหนัง สไปเดอร์แมน: โน เวย์ โฮม

ถ้าพูดถึงเนื้อเรื่อง พูดตามตรง มันเป็นลิขสิทธิ์ของภาพยนตร์ด้วยซ้ำ แต่หนังไม่ได้ลงลึกขนาดนั้น (เท่าที่ฉันรู้ Doctor Strange in the Multiverse of Madness จะฮิตในปีหน้า) แต่ฉันไม่สามารถปฏิเสธสิทธิที่ใกล้เข้ามาได้ มันสอดคล้องกับการเลี้ยงดูของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ในหนังสองเรื่องแรก เราจะเห็นปีเตอร์เข้าร่วมโทนี่ สตาร์คออกเดินทางเพื่อเอาชนะฮีโร่หนุ่ม

นอกจากครูซและนักแสดงรอบๆ ตัวแล้ว ผู้เขียนเองต้องขอชื่นชมตัวร้ายทั้ง 5 คนนี้ที่กลับมารับบทโรมมิ่งจักรวาล แม้ว่าต้นฉบับจะยังห่างจากภาพยนตร์หลายสิบปี แต่พวกเขาสามารถสร้างตัวร้ายได้เช่นกัน ที่พวกเขาเคยเล่นขึ้นมาใหม่ได้โดยไม่พลาดแม้แต่จังหวะเดียว การสวมบทบาทตัวละครทั้ง 5 ตัวในพล็อตที่เต็มไปด้วยความสับสนของตัวละคร แต่แบ่งบทได้ดีทุกตัว แปลกที่ไม่ขโมยซีนสไปดี้ของน้องต้อมเลย แต่ถ้าให้เลือกว่าคนไหนติดอันดับผู้เขียนขอยกให้กับคุณ “William Dafoe” เจ้าของตัวละคร “Green Goblin” แต่ยังไงก็ตาม ฉันยังสามารถเล่นเป็นตัวร้ายที่น่ากลัวจริงๆ เหมือนที่ฉันเห็นใน Spider-Man (2002)

และที่เรียกได้ว่าเป็นไฮไลต์ของหนังเรื่องนี้ก็คือมุกฮา ๆ ครับ ในภาคนี้ต้องเรียกได้ว่าใส่มุกฮาและตลกร้ายจังหวะนรกมาได้อย่างร้ายกาจมาก และโดยเฉพาะมุกมาจากมัลติเวิร์ส ซึ่งก็จะมีการสอดแทรกบทที่เกี่ยวพันกับหนังไอ้แมงมุมคลาสสิกทั้งสองเวอร์ชัน เรียกว่าเป็นมุกที่เรียกเสียงฮาเอาใจแฟนบอยโดยเฉพาะเลย ทั้งมุกคำพูดที่อ้างเอ่ยถึง รวมถึงการแอบใส่ซีนที่ใช้แรงบันดาลใจจากหนังเวอร์ชันคลาสสิก (ที่แฟนบอยดูแล้วเก็ตแน่นอน) รวมทั้งเซอร์ไพรส์อื่นอีกต่าง ๆ นานาที่เรียกได้ว่าเยอะมากในระดับที่จะทำให้แฟน ๆ สไปดีดูแล้วกรี๊ดแตกได้อย่างแน่นอน

จริงๆ แล้ว ถ้าสังเกตเป็นจุดเล็กๆ ประการแรก บทสามารถย้ายโครงเรื่องจากเล็กไปใหญ่ได้ ดังนั้นการเคลื่อนไหวขององก์แรกจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้และค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าจะมีฉากแอคชั่นบางฉากที่ทำให้กราฟิกกระตุกก็ตาม แต่การดำเนินเรื่ององก์แรกถือว่าค่อนข้างช้า นั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ภาคนี้มีความยาวถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง ตามด้วยฉากแอคชั่น โดยรวมแล้วมันเป็นฉากแอ็คชั่นที่ดีตามมาตรฐานของ Jon Watts ฉันชอบการต่อสู้ระหว่าง Spider-Man และ Doctor Strange เป็นการส่วนตัว

โดยรวมแล้ว Spider-Man: No Way Home สรุป ยังคงเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่มาตรฐานของ Marvel แต่อย่างอื่น มันคือก้าวสำคัญในการเดินทางสู่แฟรนไชส์ที่โตเต็มที่ หนังเรื่องนี้เรียกว่าแฟนด้อม ไปดูสไปเดอร์แมนไม่ผิดหวัง เพราะนอกจากเรื่องราวที่เหลือแล้ว ยังมีพัฒนาการและช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของปีเตอร์ที่เราได้เห็นอีกด้วย ปาร์คเกอร์ในฐานะซูเปอร์ฮีโร่ที่เต็มเปี่ยม และเพิ่มขึ้นอย่างมาก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *