รีวิว It’s Okay to Not Be Okay เรื่องหัวใจ ไม่ไหวอย่าฝืน

It's Okay to Not Be Okay

It’s Okay to Not Be Okay

เรื่องราวของ 2 พี่น้อง อย่างมุนคังแท (คิมซูฮยอน) และมุนซังแท (โอจองเซ) ในทุกฤดูใบไม้ผลิ 2 พี่น้องจะต้องย้ายที่อยู่ เริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองใหม่ รีวิวหนัง พวกเขาเข้าใจกิจวัตรนี้ดีเพราะพวกเขาทำมานานมากแล้ว จุดเริ่มต้นคือการเสียชีวิตอย่างน่าเศร้าของแม่ของพวกเขาเมื่อพวกเขายังเด็ก มุนคังแททำงานเป็นผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเวช แต่ด้วยภาระงานที่เขาต้องดูแลพี่ชายที่เป็นออทิสติก เขาจึงจำเป็นต้องหางานเป็นผู้ดูแลในโรงพยาบาลแห่งใหม่ทุก ๆ 10 เดือน

สุดท้ายเขาก็ได้ย้ายไปที่โรงพยาบาลจิตเวชรื่นรมย์ในเมืองซองจิน เมืองที่พวกเขาจำเป็นต้องจากไปเมื่อตอนยังเป็นเด็กและเป็นสถานที่ที่แม่ของพวกเขาถูกฆาตกรรมอีกด้วย เว็บดูหนัง ก่อนที่พวกเขาจะก้าวไปสู่ที่นั่น มุนคังแทได้พบกับนักเขียนนิทานเด็กชื่อดัง โกมุนยอง” (ซอเยจี) ด้วยความผิดปกติทางบุคลิกภาพของเธอ โกมุนยองจึงเกิดความชื่นชอบถึงขั้นหมกมุ่นกับคังแท และยอมทิ้งชีวิตคนดังในโซลเพื่อมาตั้งรกรากในเมืองซองจินเพื่อให้ได้อยู่ใกล้กับเขา แต่ทั้งมุนคังแท มุนซังแทและโกมุนยอง ต่างไม่รู้ว่าเขามีอดีตที่เจ็บปวดร่วมกัน

ซีรีส์ที่หยิบยกประเด็นสุขภาพจิตมานำเสนอไปพร้อมกับการสอดแทรกวิธีการเยียวยากันและกันของตัวละครในเรื่อง ผ่านนิทานในแต่ละตอนและคำพูดที่เปี่ยมไปด้วยพลังใจ และข้อคิด ทุกรายละเอียดในเรื่องถูกสรรสร้างออกมาอย่างบรรจงและประณีตได้อย่างไร้ที่ติ ซีรีส์เรื่องนี้เหมือนพาเราท่องเข้าไปในโลกของนิทานที่ตัวเอกของเรื่องล้วนไม่สมบูรณ์แบบ ไม่ได้มีเพียงผู้ป่วยที่อยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชรื่นรมย์เท่านั้นที่ต้องการการเยียวยา คนธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้ใช้ชีวิตในโรงพยาบาลอย่างมุนคังแท (รับบทโดย คิมซูฮยอน) ผู้ดูแลในโรงพยาบาลที่ต้องดูแลพี่ชายมุนซังแท (รับบทโดย โอจองเซ) ที่เป็นออทิสติก และ โกมุนยอง (รับบทโดย ซอเยจี) นักเขียนวรรณกรรมเด็กผู้โด่งดังที่เต็มไปด้วยปมในวัยเด็ก ก็ต่างต้องการการเยียวยาด้วยเช่นกัน

"<yoastmark

ในซีรีส์สามารถเล่าประเด็นที่หนักหน่วงนี้ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบและนุ่มลึกทำให้เราเห็นว่าปัญหาสุขภาพจิตมันไม่ได้ไกลตัวเรา ‘คนทั่วไปในสังคม’ รวมไปถึง คนใกล้ตัวเรา’ ที่เรามักจะมองข้ามเพียงเพราะเห็นว่าพวกเขาโอเคดีแต่ความเป็นจริงแล้วภายในที่เขาไม่ได้แสดงออกให้เราเห็นอาจจะไม่ได้โอเค และส่งเสียงเรียกร้องให้เราช่วยผ่านท่าทีที่ปกตินั้นก็เป็นได้

นิทานภายในเรื่องถือได้ว่าเป็นจุดเด่นหลัก และสร้างความน่าตื่นเต้นให้กับคนดูได้เป็นอย่างมาก เพราะยังไม่เคยมีซีรีส์เรื่องไหนหยิบยกนิทานเข้ามาเป็นแก่นเรื่องหลักในการเล่าเรื่องเลย แถมภายในเรื่องยังมีนิทานที่ถูกแต่งขึ้นมาใหม่เพื่อให้เข้ากับบริบทในแต่ละตอน มันทำให้เราสนุกไปกับการคาดเดาเนื้อเรื่อง คาดเดาชื่อตอน เว็บดูหนังฟรี และคาดเดาว่าในตอนนั้นๆนิทานเรื่องไหนจะถูกหยิบยกขึ้นมา นิทานทั้ง 16 ตอนไม่ได้ถูกปล่อยให้จมหายไปเมื่อผ่านตอนของตัวเอง แต่มันถูกจับกลับมาบอกเล่าเนื้อเรื่องของตอนอื่นๆ ถูกจับมาเป็นคำใบ้และถูกจับมาเป็นตัวบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของตัวละคร ได้อย่างลงตัวและสวยงาม มันแสดงให้เห็นว่ามันไม่ใช่เป็นการหยิบเอานิทานมาเสริมให้ดูน่าสนใจเฉยๆ แต่เป็นการเอานิทานเป็นตัวหลักในการดำเนินเนื้อเรื่องให้เดินทางไปถึงตอนจบ

ยกตัวอย่างเช่น ใน Ep.4 นิทานเรื่อง เด็กน้อยซอมบี้ เป็นนิทานที่ได้ออกมาโลดแล่นในตอนนี้ เรื่องราวของเด็กชายที่มีรูปร่างลักษณะแตกต่างจากเด็กทั่วไป เมื่อโตขึ้นแม่ของเขาก็สังเกตุได้ว่าลูกชายของเขาเป็นแค่ซอมบี้ที่ต้องการเพียงอาหารประทังชีวิตเท่านั้น เธอจึงเลี้ยงเขาอย่างหลบซ่อนๆจนกระทั่งโรคร้ายมาเยือนเธอจึงยอมเอาตัวเองเป็นอาหารมื้อสุดท้ายให้แก่ลูกชายของเธอ แต่ในมื้อสุดท้ายที่เธอยอมสละร่างกายของตัวเองนั้น ลูกน้อยที่เธอคิดว่าเป็นซอมบี้ผู้หิวโหยมาตลอดก็โผกอดเธอที่เหลือแต่ลำตัว  แล้วพูดออกมาเป็นครั้งแรกว่า “แม่ช่างอบอุ่นเหลือเกิน” นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานที่อธิบายเบื้องหลังครอบครัวของตัวละครหลักอย่าง โกมุนยอง และมุนคังแทได้เป็นอย่างดี พวกเขาทั้ง 2 ต่างก็ถูกมองว่าเป็นเพียงซอมบี้ที่ไร้ความรู้สึกแต่ความจริงแล้วพวกเขากลับโหยหาสิ่งที่เรียกว่า ความใส่ใจ’และ ‘ความอบอุ่น’ มากกว่าอาหารที่ทำให้อิ่มท้องเสียอีก

"<yoastmark

เป็นเรื่องที่นักแสดงถูกแคสมาได้อย่างลงตัวราวกับตัวบทสร้างมาเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะนักแสดงหลักหรือนักแสดงสมทบที่ออกมาไม่กี่ฉากก็ล้วนสร้างความประทับใจให้กับเราได้ทุกตัวละคร

คิมซูฮยอน ในบท มุนคังแท ผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่ต้องคอยดูแลพี่ชายที่เป็นออทิสติกมาตั้งแต่เด็ก ทำให้คังแทกลายเป็นคนเก็บกดมักจะไม่แสดงสีหน้า ความต้องการและความรู้สึกจริงๆออกมา ซูฮยอนสามารถเล่นบทคังแทออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ สามารถเปลี่ยนสีหน้าได้ภายในพริบตา บทจะร้องไห้ก็ร้องได้อย่างน่าสงสารจนอยากจะทะลุเข้าไปกอดปลอบ หนังฟรี บทอบอุ่นเมื่ออยู่กับมุนยองก็เล่นเอาเขินตัวแตก รอยยิ้มเล็กๆที่ออกมาจากใจจริงๆกับรอยยิ้มที่เสแสร้ง ซูฮยอนยังสามารถแสดงออกมาให้มันดูแตกต่างได้อย่างน่าทึ่ง เป็นผลงานคัมแบ็คกลับมาในรอบ 5 ปีที่ไม่น่าผิดหวังเลยแม้แต่นิดเดียว

ซอเยจี ในบท โกมุนยอง ถือว่าเป็นบทที่ทำให้เธอดังเป็นพลุแตกเลยก็ว่าได้ เยจีเหมาะกับบทมุนยองจนไม่สามารถคิดเป็นอื่นได้เลยว่าหากไม่ใช่เธอ ตัวละครโกมุนยองจะออกมาสมบูรณ์แบบได้เท่านี้หรือไม่ ความจิตที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความงดงามราวกับเทพธิดา ความเปลี่ยวเหงาและโดดเดี่ยวที่แสดงออกผ่านดวงตา ล้วนทำให้โกมุนยองกลายเป็นโกมุนยองที่สมบูรณ์แบบจนไม่อาจละสายตาไปจากเธอได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว

 โอจองเซ ในบท มุนซังแท ตัวละครโปรดของเรา บอกได้คำเดียวว่าถ้างานประกาศรางวัลมาอีกเมื่อไหร่แล้วคุณโอจองเซไม่ชนะคือโกรธมากแน่นอน เพราะพี่เล่นเต็มมากกก รู้เลยว่าทำการบ้านมาอย่างหนัก เพราะโรคออทิสติกเป็นโรคที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด การแสดงท่าทาง มือไม้ แววตา น้ำเสียง ท่าเดิน กิริยาทุกอย่างล้วนจะต้องออกมาอย่างธรรมชาติถึงจะดูน่าเชื่อถือ ซึ่งโอจองเซสามารถทำได้ และทำได้เกินกว่าคำว่าดีไปมากก เขาสามารถเป็นมุนซังแทที่ทำให้เราอมยิ้มไปกับความใสซื่อ หัวเราะไปกับความกวนแบบไม่ตั้งใจ ร้องไห้ไปกับประโยคตรงๆ ของเขาได้ เป็น ‘ตัวฮีล’ ที่เพิ่มเลือดให้กับตัวละครทุกตัวรวมไปถึงคนดูด้วย เป็นตัวละครที่ไม่สามารถขาดไปได้ด้วยประการทั้งปวง

"<yoastmark

It’s Okay to Not Be Okay

เห็นโลโก้ของ หนังใหม่ STUDIO DRAGON ก็รู้อยู่แล้วว่างานภาพ งานแสง งานสี จะต้องปังจนไม่มีที่ติ แล้วเรื่องนี้แน่นอนไม่มีคำว่าผิดหวัง ทุกอย่างลงตัว งดงามราวกับกำลังดูนิทานเรื่องยาวเรื่องนึงเลยทีเดียว ทุกครั้งเมื่อมีนิทานที่ถูกแต่งขึ้นมาใหม่ ตัวการ์ตูนที่ถูกวาดโดย Jamsan ก็ได้เข้ามาเสริมทัพความน่าสนใจของตัวนิทานภายในเรื่องให้เพิ่มมากขึ้นไปอีกเป็นทวีคูณ นอกจากงานภาพแล้วงานสีก็สวยละมุนในทุกโทน หากเป็นโทนสีอุ่นก็ทำออกมาได้อบอุ่น สดใส เบิกบาน มักจะเห็นได้ในฉากที่ตัวละครมีความสุข เช่น ฉากปราสาทบ้านของมุนยองในตอนหลังๆที่ 2 พี่น้องมุนเข้าไปอยู่แล้ว จากปราสาทที่คุมโทนไปด้วยโทนสีเย็น ที่ให้ความรู้สึกหม่นหมองน่ากลัว ก็กลับกลายเป็นปราสาทที่มีชีวิตชีวาและน่าอยู่มากขึ้น  อีกสิ่งนึงที่เรื่องนี้ทำออกมาได้ดีมากคือ Transition ในแต่ละฉากมันสมูท ลื่นไหล และไม่ขัดตาเลยแม้แต่น้อย

เป็นที่เลื่องลือมากสำหรับแฟชั่นในแต่ละตอนของโกมุนยองนางเอกของเรื่อง ทุกชุดคือแพง! สวย! และปังมากกกก ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า หน้าผม เครื่องประดับต่างๆล้วนเป็นของมีแบรนด์และราคาสูงมากก ทั้งเรื่องเราจะเห็นนางเอกแต่งตัวสบายๆเสื้อยืดกางยีนส์ธรรมดาอยู่เพียงฉากเดียวเท่านั้น !! นอกนั้นคืออลังการราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยายจริงๆ

เป็นปกติธรมดาของซีรีส์แต่ละเรื่องที่จำเป็นต้องปูพื้นตัวละครให้คนดูเข้าใจที่มาที่ไปซะก่อน เรื่องนี้ก็เช่นกัน แต่การปูพื้นกลับแตกต่างออกไปจากซีรีส์ที่ใช้คำว่าโรแมนติกนำหน้า ด้วยการนำ stop motion มาใช้ในการเล่าเรื่อง ที่ดึงดูดความสนใจและเผยความดาร์กออกมาได้อย่างสวยงาม ที่ถึงจะไม่ได้บอกออกมาตรง ๆ แต่ก็ทำให้เราเข้าใจได้ว่า สองคนนี้เคยมีอดีตที่เกี่ยวข้องกันมาก่อน

เด็กสาวที่โกรธทุกคนบนโลกใบนี้เพราะมองว่าเธอคือตัวประหลาด โดดเดี่ยวและไร้เพื่อน วันหนึ่งเด็กหญิงช่วยชีวิตเด็กชายโดยไม่ตั้งใจ เด็กชายหน้าตาอ่อนโยนก็เดินตามเด็กหญิงต้อย ๆ จนวันหนึ่งก็พบว่า เธอมันช่างน่ากลัวจริง ๆ

เด็กหญิงถามเด็กชายว่า “เธอจะอยู่ข้างฉันไปตลอดใช่ไหม”….”แน่นอน” เด็กชายตอบ เด็กหญิงก็จับผีเสื้อมาฉีกเล่นต่อหน้าต่อตาจ้ะ หนุ่มน้อยแต๋วแตกวิ่งหายลับไปในทุ่งดอกไม้หลากสี แล้วภาพก็ตัดมาที่นางเอกตัวจริงยืนนิ่งอยู่บนปราสาท อารมณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมุมกล้อง เฟรมภาพ แสงสีครอบคลุมไปถึงเครื่องแต่งกายสไตล์โกธิคที่ โกมุนยอง สวมใส่ บ่งบอกความเป็นตัวตนของนางเอกอย่างชัดเจน

จากจุดเริ่มต้นภาพก็ตัดมาเล่าในมุมของ มุนคังแท ที่มีชีวิตต่างกันสุดขั้ว วัน ๆ ต้องดูแลพี่ชายที่เป็นออทิสติก ต้องเปลี่ยนงาน ต้องย้ายบ้าน ซีรีส์แสดงให้เห็นถึงความอ่อนโยนของ มุนคังแท ภายใต้แววตาที่อมทุกข์ จากภาระที่แบกไว้กับอดีตที่ต้องการลืมและหนีหายไปจากมัน ชูความต่างของพระเอกนางเอกที่ชีวิตต้องมาบรรจบพบเจอกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ

ผสมกับงานกราฟิติลายเส้นสายดาร์กจากภาพประกอบหนังสือของ  โกมุนยอง แล้วตบท้ายด้วยการเล่าว่า มีเด็กคนหนึ่งถูกลบฝันร้ายออกไปจากความทรงจำด้วยน้ำมือของแม่มด  แต่เขากลับไม่มีความสุข เพราะการลบความทรงจำไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เราควรจะจดจำบาดแผลในอดีตเอาไว้ ต่อสู้และเผชิญหน้ากับมันเพื่อเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง ถึงจะได้พบกับความสุขที่แท้จริง การเล่าเรื่องลักษณะนี้สารภาพเลยว่า ชอบมาก ๆ เป็นการส่วนตัว ถือเป็นการสื่อสารที่ตรงไปตรงมาผ่านการเล่าเรื่องจากภาพ และไม่ยากเลยในการทำความเข้าใจ ซึ่งซีรีส์ก็ทำออกมาได้ดีจนดูแล้วยิ้ม ซึ่งทำให้เห็นชัดเลยว่าผู้เขียนบทและทีมสร้างทำการบ้านมาดีขนาดไหน

อารมณ์ของเรื่องคล้าย ๆ กับคนเป็นไบโพลาร์อยู่เหมือนกันนะ ดูหนังฟรี เป็นซีรีส์ที่เปลี่ยนอารมณ์ฉับไวเหมือนใจมนุษย์ สุขอยู่ดี ๆ ขำกันอยู่หลัด ๆ ก็เข้าโหมดเศร้าแล้วโผล่ไปโหมดจิตได้หน้าตาเฉย เปลี่ยนกันปุบปับแต่ก็กลับทำออกมาได้สมูทเอาซะอย่างนั้นและที่สำคัญ ซาวด์ประกอบสามารถชี้นำอารมณ์ในจุดนั้นให้คล้อยตามและล้อไปกับเนื้อเรื่องได้แบบเนียน ๆ

มั่นใจเลยว่าทีมสร้างซีรีส์เรื่องนี้ต้องเป็นสาวก ทิม เบอร์ตัน อย่างแน่นอน ก็ถ้าจะกลิ่นชัดซะขนาดนี้จะมีไอดอลเป็นใครไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นภาพบรรยากาศ โลเคชันที่เป็นบ้านของนางเอก ชุดที่สวมใส่หรือบุคลิกท่าทางที่แสดงออก

ซีรีส์แทนภาพที่ไม่น่าดูชวนขยะแขยงด้วยภาพอื่น ๆ เป็นสื่อสัญลักษณ์ให้เราเข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า และสร้างอารมณ์ใหม่สอดเข้ามาคืออารมณ์ขันที่ทำให้เราเผลอหัวเราะในหลาย ๆ ฉาก ก็เรียกได้ว่าไม่ทิ้งสายเลือดละครเกาหลี ที่ถึงแม้จะชูความดาร์ก ชูโรแมนติกหรือดราม่า แต่อารมณ์ขันก็ต้องมาเสิร์ฟอยู่ตลอดไม่มีขาด

มีการเล่นกับความต่างด้วยการใส่กรอบฟุ้งสีชมพูเวลาแฟลชแบ็กทั้ง ๆ ที่เรื่องที่นึกถึงมันไม่ได้ชมพูไปด้วยเลย มีการใช้ stop motion มาผสมผสานในบางช่วง หรือแม้กระทั่งสื่ออารมณ์ความรู้สึกที่อยู่ลึก ๆ ภายในใจ โดยให้นางเอกมีร่างใหญ่ยักษ์แบบปีศาจแปลงร่างในคาเมนไรเดอร์ มีการวางเฟรมและมุมกล้องซ้ำ ๆ อย่างตั้งใจเหมือนต้องการจะสื่อว่า “อย่าหลีกหนีการเผชิญหน้า เพราะไม่ว่าเราต้องการจะหนีสักกี่ครั้ง ก็ไม่มีทางที่จะหนีมันได้พ้น”

ซีรีส์เยียวยาจิตใจ เปิดมุมองใหม่ๆ และสร้างพลังบวกให้กับคนดูอย่างแท้จริง เริ่มต้นได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ และปิดฉากลงอย่างงดงาม เพราะในโลกแห่งนี้ ไม่มีมนุษย์คนใดสมบูรณ์แบบ 100% เราทุกคนต่างมีบาดแผลที่มองไม่เห็นกันทั้งนั้น หากเราเข้าใจกันและกันในมุมนี้ มันจะทำให้สังคมของเราน่าอยู่มากขึ้น ดูหนังออนไลน์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *