รีวิว Moon Knight มูนไนท์

Moon Knight มูนไนท์

Moon Knight  มินิซีรีส์ 6 ตอนจบเรื่องราวซูเปอร์ฮีโร่จากอียิปต์ที่โดดเด่นด้วยตัวเองแบบสแตนด์อโลน ผ่านเรื่องราวตัวเอกหลายบุคลิกแบบที่ไม่เคยมีซูเปอร์ฮีโร่เรื่องไหนทำมาก่อน รีวิวหนัง 

เรื่องราวของกระทาชายนายหนึ่ง นามของเขานั้นคือ สตีเวน แกรนต์ (Oscar Isaac จากหนังเรื่อง ‘Dune’‘Star Wars: Episode IX – The Rise of Skywalker’ และ ‘Ex Machina’) คนที่ทำงานขายสินค้ากิฟต์ช็อปในพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งในอียิปต์ แม้มันจะเป็นงานที่เขาไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่ เพราะเขามองว่าตัวเองมีความรู้และคลั่งไคล้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์อียิปต์มากมายจึงใคร่อยากจะเป็นไกด์เหลือเกิน

แท้จริงแล้วยังเป็นคนมีหลายบุคลิก เมื่อตัวตนอื่นของเขาตื่นขึ้นมา ตัวตนของสตีเว่นก็จะคล้ายจะหลับไหลไปชั่วคราว ทุกเช้า เขาตื่นขึ้นมาบนเตียงด้วยความรู้สึกเหมือนถูกสิบล้อชน แถมเขายังล่ามตัวเองไว้กับเตียงอีกต่างหาก อีกบุคลิกหรือตัวตนหนึ่งที่เขาอาจไม่รู้นั่นคือ เขาเป็นทหารรับจ้างนามว่า มาร์ก สเปกเตอร์

เว็บดูหนัง สตีเวนเริ่มรับรู้ถึงตัวตนอื่นของเขาที่เริ่มต้นด้วยการตื่นมาในสถานการณ์อันแปลกประหลาดพร้อมมีเสียงบางอย่างที่คอยสั่งเขาอยู่ตลอดเวลา ทั้งมันนำพาเขาไปพบกับตัวร้ายอย่าง อาร์เธอร์​ แฮร์โรว์ (Ethan Hawke จากหนังเรื่อง ‘Tesla’‘The Magnificent Seven’ และ ‘Predestination’) ผู้ที่ต้องการสคารับที่เขาครอบครองอยู่ สคารับที่หน้าตาเหมือนกับแมลงทับ เป็นเครื่องมือที่จะพาอาร์เธอร์ไปหาอูชิบติของอัมมิต โบกี้แมนตัวแรกของอียิปต์ที่ตั้งตนตัดสินถูกผิดของคนทั้งโลก

ขณะเดียวกัน ตัวตนทั้งสองที่พูดคุยกันได้ก็ยังพาให้สตีเวนได้รู้ว่า แท้จริงแล้วมาร์กทำงานเป็นอวตารรับใช้คอนชู เทพแห่งดวงจันทร์ที่หน้าตาเหมือนซากนก ทำหน้าที่คุ้มครองผู้อ่อนแอ ปกป้องผู้เดินทางยามราตรี และมันยังนำพาให้เขาได้พบกับ เลย์ลา เอลฟูลี (May Calamawy จากซีรีส์เรื่อง ‘Ramy’) หญิงสาวนักขายของเก่าคนที่รู้ว่าตัวตนจริงๆ ของเขาคือมาร์ก

Moon Knight มูนไนท์

ซีรีส์มาร์เวลที่เป็นเอกเทศแยกออกมาจากเรื่องอื่น โดยไม่ต้องติดตามเรื่องไหนในมาร์เวลมาก่อน เล่าเรื่องราวของ สตีเว่น แกรนท์ (นำแสดงโดยออสการ์ ไอแซค) ชายหนุ่มผู้เป็นโรคหลายบุคลิก ในเวลาปกติเขาคือคนขายของที่ระลึกในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์อียิปต์ แต่อีกร่างหนึ่งเขาเป็นทหารรับจ้างที่มีชื่อว่า มาร์ค สเปคเตอร์ และมาร์คยังเป็นร่างอวตารของเทพคอนซู เทพเจ้าอียิปต์เก่าแก่ที่คอยลงทัณฑ์ผู้กระทำความผิดชั่วช้าสามานย์ให้ถึงแก่ความตาย โดยมีเป้าหมายหยุดยั้งเทพอัมมิตที่ตัดสินโทษแตกต่างจากคอนซู  โดยที่สตีเว่นไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นเช่นนี้

ตัวซีรีส์เรื่องนี้แตกต่างจากซูเปอร์ฮีโร่เรื่องอื่นของมาร์เวลค่อนข้างมาก อย่างที่เห็นชัดเลยคือการสำรวจเจาะลึกแบบเข้มข้นกับตัวเอกของเรื่องมากกว่าเรื่องไหนๆ ซึ่งผู้กำกับ Doug Moench เองก็เคยมีผลงานก่อนนี้เป็นอนิเมชั่น Harley Quinn ของค่าย DC มาก่อน ซึ่งก็เหมือนงานลองเชิงก่อนมาเป็นซีรีส์คนแสดงจริงเรื่องนี้ เว็บดูหนังฟรี

ซึ่งเป็นการสำรวจจริงจังลงลึกไปยังก้นบึ้งตัวละครนี้ที่เป็นโรคหลายบุคลิกโดยตรง โดยยังไม่ต้องเอาเรื่องของความเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่ได้พลังจากเทพอียิปต์มาเกี่ยวเลยก็ได้ ความน่าสนใจของตัวพระเอกในยามเป็นมนุษย์ที่มีหลายร่าง สตีเว่นผู้ใสๆ ซื่อบริสุทธิ์จริงใจกับทุกอย่างกับมาร์คที่เป็นทหารรับจ้างฆ่าคนมานับไม่ถ้วน แถมยังทำงานรับใช้คอนซูฆ่าคนที่ตัวเองก็ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องด้วยอีก นอกจากนั้นยังมีร่างอื่นที่จะเปิดเผยตามมาอีก ซึ่งก็ยิ่งโหดกว่า นองเลือดกว่า ตั้งแต่ EP แรก มูนไนท์ก็ถ่ายทอดตรงนี้ออกมาให้คนดูได้รู้แล้วว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ธีมบันเทิงล้วนๆ แบบที่มาร์เวลเรื่องอื่นเป็น แต่ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องราวจะเครียดมาก

Moon Knight มูนไนท์

ดูหนังฟรี เรื่องสามารถผ่อนหนักเบาลงได้ตามจังหวะลงตัวมาก และความน่าสนใจจากการเป็นบุคลิกซ้อนในเรื่องที่ไอแซคแสดงก็มีเสน่ห์ดึงดูดให้คนดูสนใจเรื่องราวความแตกต่างของ 2 ตัวละครนี้ในคนเดียวกันได้มากกว่าเนื้อหาส่วนอื่นๆ ซึ่งผู้ชมจะได้ค่อยๆ รู้จักทั้ง 2 ตัวตนลึกลงเรื่อยๆ แล้วค่อย หลงรักตัวละครนี้ไปอย่างไม่รู้ตัวได้เลย

ในขณะเดียวกันร่างมูนไนท์ที่เป็นซูเปอร์ฮีโร่ก็ไม่ได้ออกมาในแนวช่วยเหลือผู้คน แต่เป็นการตามล่าล้างปิดบัญชีโหดกับฝ่ายของตัวร้ายที่มีเป้าหมายปลุกเทพอัมมิตขึ้นมา กึ่งๆ เป็นแอนตี้ฮีโร่ก็ว่าได้ โดยมีชุดรบสีขาวที่ได้จากเทพมาใช้ทั้งในร่างของมาร์คกับสตีเว่นแยกขาดจากกันทั้งความสามารถพิเศษที่ชุดมูนไนท์ของมาร์คจะครบเครื่องกว่าสตีเว่น ที่ออกแนวต๊องๆ ตลกๆ

แต่ก็มีความสามารถจริงจังในระดับหนึ่ง ด้วยความที่เป็นซีรีส์ทุนจึงไม่ได้สูงมากแบบหนัง ในส่วนนี้จึงไม่ได้ถูกใส่มาแบบแอ็กชั่นเว่อร์วังอะไรมาก แต่ก็มีฉากให้เราได้ลุ้นสนุกไปกับการใช้ร่างนี้ทุกตอนอยู่ เป็นแนวต่อกรกับลูกกระจ็อกมอนสเตอร์อียิปต์กับแนวผจญภัยหาสุสานแบบอินเดียน่าโจนส์  ซึ่ง CG ก็ไม่ได้เนียนกริ๊บอะไรมาก แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเห็นชัดแล้วเสียอารมณ์อะไร ถ้าเป็นคนดูซีรีส์มาจะเข้าใจระดับ CG ของซีรีส์อยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่ติดดูหนังโรงมาก็อาจจะรู้สึกว่า CG เรื่องนี้ไม่ดีพอ ซึ่งก็ไม่ผิดแล้วแต่มุมมองความคาดหวังส่วนตัว

Moon Knight มูนไนท์

นอกจากนี้แล้วตัวละครอื่นอย่าง เลย์ล่าในบทบาทนางเอก (รับบทโดย May Calamawy) ก็มีความสำคัญกับเรื่องไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน มูนไลท์นำเสนอเรื่องราวความรักของคนเป็นโรคหลายบุคลิกออกมาได้โรแมนติกแบบไม่ต้องเน้นฉากเลิฟซีนหวานชื่นอะไร เลย์ล่าผู้แต่งงานกับมาร์ค ล่วงรู้ความลับเรื่องมูนไนท์ของมาร์ค และทิ้งเธอไปอย่างไม่มีเหตุผล

Moon Knight มูนไนท์

จนมาพบกับสตีเว่นที่บุคลิกทุกอย่างตรงข้ามกับสามีเธอหมด เรื่องราวนำเสนอความโรแมนติกแบบเบาๆ ให้คนคาดเดากันเองว่าเธอมีใจให้กับใครกว่ากัน และตัวละครนี้ยังมีเซอร์ไพรซ์ปิดท้ายในตอน 6 ที่ว้าวกว่าตัวมูนไนท์ที่มีบทบาทมาทั้งเรื่องเลยทีเดียว

ในส่วนตัวร้ายของเรื่องได้พระเอกรุ่นเก๋าอย่างอีธานฮอว์คมาเล่นในบท แฮร์โรว์ อวตารของอัมมิตเทพคู่อริคอนซู บทบาทนี้เป็นตัวร้ายมาร์เวลในแบบเจ้าลัทธิที่บงการชี้นำคนด้วยอุดมการณ์สีเทาๆ ของตัวเอง โดยใช้แนวทางของเทพอัมมิตที่ตัดสินคนจากการหยั่งรู้ว่ามีความผิดในชีวิตทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต เข้ามาเกี่ยว ซึ่งเป็นตัวร้ายที่ดูมีมิติแตกต่างออกไปอย่างน่าสนใจ

ซึ่งคนดูส่วนหนึ่งก็อาจจะรู้สึกเข้าข้างอุดมการณ์ของเขาไปเลยก็ได้ แม้ในเรื่องจะแสดงให้เห็นว่ามันไม่ถูกต้อง แอบสะท้อนสังคมโซเชียลในปัจจุบันที่คนเป็นศาลเตี้ยโซเชียล พิพากษาคนจากการรับรู้เรื่องราวด้านเดียว โดยไม่ต้องการรอให้เรื่องนี้กระจ่างในชั้นศาลในแบบเดียวกัน ต่างกับมูนไนท์ที่รอให้ความผิดกระจ่างค่อยเป็นศาลเตี้ยตัดสิน ซึ่งจริงๆ ดูหนังออนไลน์

นี่ก็ผิดอีกแบบเช่นกัน เรื่องนี้จึงเป็นการปะทะกันของความเชื่ออุดมการณ์ส่วนตัวของเทพทั้งสององค์ ซึ่งตัวอีธานเองก็สวมบทบาทตัวร้ายนี้ได้อย่างมีคลาส เขาดูสูงส่งแบบชั่วร้ายไปพร้อมกัน และนอกจากนี้ยังมีอีกบทบาทในตอนหลังเป็นตัวตนที่ต่างออกไปจากปกติ ซึ่งอีธานก็เล่นบทบาทนั้นโดยยังเชื่อมโยงกับบทเจ้าลัทธินี้ได้อย่างเนียนๆ

จุดด้อยของเรื่องนี้นอกจาก CG ที่ไม่ได้เนี๊ยบอย่างที่บอกไป โดยรวมก็ไม่ถึงกับมีตำหนิอะไรมาก  เรื่องดูเพลินๆ แต่ด้วยความที่เรื่องไม่ได้เน้นแอ็กชั่นแต่ไปทางดราม่าจิตใจตัวละคร เรื่องราวก็อาจจะดูเรื่อยๆ ไปบ้างไม่ถึงกับสนุกกับฉากแอ็กชั่นสุดๆ

ในแนวซูเปอร์ฮีโร่ ตอนจบก็รวบรัดตัดจบง่ายๆ แอบรู้สึกเหมือนงบไม่พอสร้างฉากตูมตามมากไปกว่านี้ บางจุดก็อาจจะมีอะไรแปลกๆ อย่างตอนหลังที่นางเอกสวมผ้าคลุมปิดครึ่งหน้าเดินติดตามตัวร้ายไปทุกที่แบบจำกันไม่ได้ พวกนี้อาจจะดูบทอ่อนง่ายๆ แต่ถ้าไม่ได้คิดอะไรมากก็หยวนๆ มองข้ามได้

เรื่องนี้ถูกวางไว้เป็นมินิซีรีส์ 6 ตอนจบในตอนแรก แต่ในตอนท้ายของเอนด์เครดิตก็มีเรื่องราวที่ทิ้งค้างไว้ทำต่อ ซึ่งก็ต้องรอมาร์เวลยืนยันว่าจะไปต่อในรูปแบบไหนต่อไป หนังโรงหรือซีรีส์ซีซั่น 2 ครับ แต่ที่แน่ๆ คือนี่เป็นซีรีส์ที่ใครที่โหยหาเรื่องแนวเอกเทศแบบที่มาร์เวลไม่ยอมทำออกมาเพราะขายความเชื่อมโยงมาตลอดสิบปี ถือได้ว่ามาร์เวลทำได้ถึงในตัวเองเลยโดยไม่ต้องพึ่งบุญเก่า และก็อยากให้มีเรื่องสแตนด์อโลนเล่าเรื่องราวเดี่ยวแบบเข้มๆ แบบนี้เพิ่มมาอีก

มันเป็นซีรีส์ที่จะบอกเล่าได้แค่เพียงเรื่องราวในตอนสองตอนเท่านั้น หลังจากนั้น มันจะเริ่มเป็นสปอยล์ แต่ก็นะ ในเวลาเช่นนี้ที่ตอนที่ 6 ที่เป็นตอนสุดท้ายของซีซัน 1 ได้สตรีมออกไปแล้ว อาจพอจะพูดถึงเรื่องราวบางส่วนได้บ้าง ที่เหลือก็ให้คนอ่านได้ไปติดตามต่อเอาเองทาง Disney+

เริ่มเรื่องราวอันชวนสับสนสงสัยอยู่หน่อย เมื่อเขาตัดต่อโดยค่อยๆ ให้เราได้รู้จักกับสตีเวน แกรนต์ ก่อน ก่อนที่จะได้รู้จักกับ มาร์ก สเปกเตอร์ และก่อนจะได้รู้ว่าบุคลิกไหนกันแน่ที่เป็นตัวจริงดั้งเดิม และบุคลิกไหนกันแน่ที่ติดต่อโดยตรงกับเทพที่มีหน้าตาเป็นนกผีนามคอนชูในฐานะอวตารของเทพตนนั้น

อย่างน้อยสำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักกับซูเปอร์ฮีโร่ตัวนี้มาก่อน มันคือ บทแนะนำให้คุณได้รู้จักกับชายหนุ่มผู้มีพฤติกรรมทางจิตประเภทหลายบุคลิก ในซีรีส์อาจบอกเล่าเพียง สตีเวน แกรนต์ และมาร์ก สเปกเตอร์ แต่ความจริงแล้ว บุคลิกของเขาคงมีมากกว่านั้น ทั้งเดิมทีก็มีกำแพงกั้นแต่ละบุคลิกเอาไว้อยู่ แต่จู่ๆ กำแพงนั้นเกิดพังทลาย ทำให้สตีเวนสามารถสื่อสารกับมาร์กได้ แถมเมื่อพวกเขาจะเข้าสู่โหมดต่อสู้ก็จะมีชุดสูทที่จะทำให้พลังของพวกเขาเพิ่มพูนขึ้น

แต่กลับกลายเป็นว่าชุดเกราะของสตีเวนดันต่างกับมาร์กซะนี่ ฝ่ายหนึ่งเงอะงะไม่รู้ต้องทำอะไร อีกฝ่ายก็พยายามเร่งเร้าขอให้ตนเป็นคนคุมร่าง ช่วงแรกก็อาจจะนัวเนียกันหน่อย เพราะสตีเวนค่อนข้างดื้อด้านพอสมควร

ถ้าพูดถึงตัวร้ายอย่างอาร์เธอร์ แฮร์โรว์นั้น เขามองว่า คอนชูลงทัณฑ์แต่ผู้ที่ทำผิดบาปแล้วซึ่งมันช้าไป เขาเชื่อในเทพีอัมมิตผู้ทำการพิพากษาก่อนที่คนชั่วจะลงมือ ความคิดที่แตกต่างสองด้านนี้ เคยถูกนำมาใช้อยู่หลายครั้งในพล็อตหนังทั่วไป หนัง/ซีรีส์ซูเปอร์ฮีโร่ก็หนีไม่พ้นต้องหยิบมาใช้เฉกเช่นกัน หนังใหม่

สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ศึกษาเรื่องเทพแห่งอียิปต์นัก ผมก็มองว่าการที่มีสตีเวน แกรนต์ ก็เหมือนจะช่วยให้คนดูอย่างเราๆ ได้รู้จักกับอัมมิตแบบง่ายๆ เมื่อเขาเรียกเธอว่า เทพีจระเข้ไฮบริด ใช่แล้ว หน้าตาของนางก็คือจระเข้ที่ยืนได้เหมือนมนุษย์นั่นแหละครับ

นอกจากนี้ ก็ยังมีเทพที่มีหน้าตาเป็นฮิปโป เธอคือ ทาเวเร็ต เทพีด้านดีที่จะมานำทางสู่ปรโลก เท่านั้นยังไม่พอ เรายังจะได้เห็นด้านในของปิรามิดต่างๆ ว่ามีการจัดห้องโถงกันแบบไหน ไม่ว่ามันตรงตามจริงหรือเปล่าก็เอาเถอะ

หลังจากซีรีส์พาเราไปรู้จักกับมูลเหตุที่อยู่เบื้องหลังการคิดปลดปล่อยเทพีอัมมิตของแฮร์โรว์ มันก็พาเราไปยังดินแดนอีกแห่งที่แรกๆ ก็ชวนให้สงสัยว่า อะไรคือความจริงเบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้ แต่ทุกอย่างเริ่มเข้าเค้าว่าคืออะไรหลังจากเปิดดูรอบสอง

แม้เรื่องราวจะเดินไปอย่างไม่หนักแน่นนัก บางส่วนก็อาจดูแหม่งๆ ไม่สมเหตุผล หากแต่ละตอนก็มีฉากแอคชันช่วนตื่นตาแทรกอยู่บ้าง ทว่าสิ่งที่น่าชื่นชมคงเป็นลีลาการแสดงของ หนังฟรี Oscar Isaac ที่ต้องเล่นเป็นคนหลายบุคลิก พร้อมยังมีท่าทียียวนชวนฮาเบาๆ เอาไว้ด้วย ด้านดนตรีประกอบก็เช่นกัน พวกเขาพยายามจะทำดนตรีออกมาให้มีกลิ่นอายแบบอียิปต์เจืออยู่ ส่วนงานด้านโปรดักชันก็จัดได้ว่าไม่เลว พอๆ กับเทคนิคพิเศษต่างๆ ที่ถือว่าทำไว้ได้ดีไม่น้อย ดีกว่าซีรีส์แนวซูเปอร์ฮีโร่อีกหลายเรื่องด้วยซ้ำ

ฉะนั้น การถือกำเนิดของซูเปอร์ฮีโร่จากดินแดนอียิปต์จึงแฝงไว้ด้วยความแข็งแกร่ง เขาเกิดขึ้นมาโดยไม่พึ่งพาตัวละครใดจริงๆ

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *