รีวิว morbius สุดยอดภาพยนต์แฟนตาซี จอมพลังซุปเปอร์ฮีโร่ จากผู้สร้างแห่งยุค

 

รีวิว morbius สำหรับวันนี้แอดก็จะมาเปลี่ยนแนวจากหนังระทึกขวัญชวนลุ้นอย่าง a quiet place 2 มาเอาใจเหล่าสาวก ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่อเมริกัน กับหนังแนว ฮีโร่แฟนตาซี หนังnetflixแนะนำ   ที่สร้างจากการ์ตูนของมาร์เวลเรื่อง morbius ใช่แล้วจ้า.. แอดกำลังพูดถึง morbius ภาพยนตร์แนว Anti-Hero ของค่าย Sony เรื่องราวของ ไมเคิล มอร์เบียส นักวิทยาศาสตร์ผู้ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคเลือดหายากของตนเองตั้งแต่วัยเด็ก

และเขาก็มีเป้าหมายที่จะรักษาตนเองให้หายให้กลายเป็นมนุษย์ปกติ แต่แทนที่เขาจะหายจากอาการป่วยนี้ การรักษาของเขาที่ใช้ค้างคาวเป็นตัวช่วย มันทำให้เขากลายแปรเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ผู้กระหายเลือด และกำลังจะควบคุมมันเอาไว้ไม่อยู่ เรื่องราวเป็นยังไงติดตาม ดูหนังออนไลน์ ต่อกันได้เลย

 

รีวิว morbius ข้อมูลทั่วไป

รีวิว morbius สำหรับหนังน่าดู หนังออนไลน์สนุกๆ อย่างมอร์เบียส (อังกฤษ: Morbius) เป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่อเมริกันในปี 2022 ที่สร้างจากการ์ตูนของมาร์เวลเรื่อง มอร์เบียส, เดอะลิฟวิงแวมไพร์ ผลิตโดยโคลัมเบียพิคเจอร์สร่วมกับมาร์เวล จัดจำหน่ายโดยโซนี่พิกเจอร์สรีลีสซิง เป็นภาพยนตร์เรื่องที่สามในจักรวาลสไปเดอร์แมนของโซนี่ กำกับการแสดงโดยดาเนียล เอสปิโนซา เขียนบทโดยแมตต์ ซาซามาและเบิร์ก ชาร์ปเลส นำแสดงโดยจาเรด เลโทในบท ดร.ไมเคิล มอร์เบียส ร่วมด้วยแมตต์ สมิธ, อาเดรีย อาร์โฆนา, จาเรด แฮร์ริส, อัล มาดริกัล และไทรีส กิบสัน ในภาพยนตร์ มอร์เบียสกลายเป็นแวมไพร์ที่มีชีวิตหลังรักษาตัวเองจากโรคที่หายาก

 

มอร์เบียส ออกฉายในสหรัฐวันที่ 1 เมษายน 2022 ทำเงิน 163 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก จากทุนสร้าง 75–83 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาพยนตร์ได้รับการตอบรับในแง่ลบจากนักวิจารณ์ ซึ่งวิจารณ์บทภาพยนตร์และเทคนิคพิเศษโดยเฉพาะในฉากระหว่างเครดิต อย่างไรก็ตามการแสดงของสมิธได้รับการชมเชยอย่างท่วมท้น

 

 

 

ชื่อเรื่อง : Morbius (2022)

ผู้กำกับ : แดเนียล เอสพิโนซ่า

แนว : ซูเปอร์ฮีโร่, แอ็คชั่น , ไซไฟ

ความยาว : 1 ชั่วโมง 50 นาที

วันที่ฉาย : 31 มีนาคม 2022

ระบบเสียง : พากย์ไทยและซับไทย

 

 

เรื่องย่อ Morbius (2022)

เรื่องราวของชายที่ชื่อว่า ดร.ไมเคิล มอร์เบียส (รับบทโดย จาเรด เลโต) ชายที่มีอาการป่วยตั้งแต่กำเนิด เขาเป็นโลกที่เลือดจะแข็งตัวอยู่ตลอดเวลา ทำให้ร่างกายไม่สมบูรณ์ และต้องถ่ายเลือดในร่างกายวันละ 3 ครั้ง เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ดร.ไมเคิล มอร์เบียส imdb จึงมีความฝันมาตั้งแต่เด็กๆที่จะโตขึ้นไปเป็นหมอ เพื่อหาทุกวิถีทางในการรักษาโลกร้ายนี้ให้จงได้ จนเวลาผ่านมาหลายปี เขาก็เป็นหมอได้สำเร็จตามที่เขาหวังไว้ เขาทำการสร้างเลือดเทียมได้สำเร็จ และเลือดนั้นก็เป็นผลงานที่ช่วยเหลือผู้คนได้เยอะมากๆ อาทิ คนที่เกิดอุบัติเหตุ หรือคนที่ต้องการเลือดแบบเร่งด่วน

 

ซึ่งถ้าปกติก็ต้องไปตามหาเลือดหรือขอบริจาคเลือดจากคนที่ตรงกัน แต่ในหนังคือไม่ต้อง เพราะสามารถใช้เลือดที่ ดร.ไมเคิลคิดมาใช้แทนได้ทันที ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบล จากความสำเร็จในครั้งนี้ แต่ตัวของ ดร.ไมเคิล กลับไม่ยอมรับรางวัล เพราะสำหรับเขาแม้ว่าจะสร้างเลือดเทียมมาได้ แต่ก็ยังไม่สามารถรักษาโรคของตัวเองได้ เขาจึงมองว่ามันเป็นการทดลองที่ไม่ประสบความสำเร็จ จากนั้นเขาจึงลองหาวิธีการใหม่

 

 

โดยการศึกษาค้างค้าว เพราะว่าเวลาค้างคาวดูดเลือดเหยื่อ ค้างคาวจะปล่อยสารบางอย่างมาเพื่อให้เลือดไม่แข็งตัว เขาจึงอยากสกัดสารนั้นมาฉีดใส่ตัวเอง เลือดเขาจะได้ไม่แข็งตัว ซึ่งเขาได้ทดลองกับหนูทดลองแล้วสำเร็จ จึงตัดสินใจที่จะทดลองกับตัวเอง แต่ปรากฎว่าสารที่เขาฉีดเข้าไป มันทำให้เขากลายพันธ์เป็นตัวประหลาด สุดท้ายแล้วเรื่องราวทั้งหมดจะลงเอยอย่างไร คงต้องไปรับชมกันด้วยตาตัวเอง Morbius (2022) วันนี้ทุกโรงภาพยนตร์

 

รีวิว morbius นักแสดงและบทบาทที่ได้รับ

จาเรด เลโท หนัง รับบทเป็น ดร.ไมเคิล มอร์เบียส

เอเดรีย อาโจน่า รับบทเป็น มาร์ทีน แบนครอฟ์

แมตต์ สมิธ รับบทเป็น ลูเซียส คราวน์ (ไมโล)

ไทริส กิ๊บสัน รับบทเป็น ไซม่อน สเทราด์

อาร์ชีย์ เรน็อกซ์ รับบทเป็น บ็อบบี้

 

 

แสดงหลักทั้ง ส่วน ‘แมตต์ สมิธ’ (Matt Smith) ผู้รับบท ‘ไมโล / ลูเซียส คราวน์’ ก็ถือว่าแสดงได้เข้ากับคาแรกเตอร์แบดบอยดีไม่หยอก และ ‘จาเรต เลโต’ (Jared Leto) เจ้าของบท ‘มอร์เบียส’ นี่แหละครับ ที่รับหน้าแบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้แบบหลังแอ่น ด้วยคาแรกเตอร์ที่เข้าถึงมาก ๆ ทั้งตอนเป็นคุณหมอผู้อ่อนโยน และเป็นแวมไพร์ได้อย่างน่ากลัว ที่พอจะพาให้หนังยังพอดูได้แบบเพลิน ๆ ซึ่งการแบกแบบหลังแทบหัก ทั้ง ๆ ที่บทป่วยขนาดนี้ ก็แอบสงสารพี่จาเร็ตเหมือนกันนะครับ เป็น ‘Joker’ ในจักรวาล DC (‘Suicide Squad’ (2016)) ก็ไม่ได้แจ้งเกิด (จนต้องกลายมาเป็นภาพประกอบคำคม) พอข้ามมาอยู่ Marvel กะว่าจะมาเปิดตัวแบบเต็ม ๆ ก็กลับโดนบททำร้ายซะเละเทะ แพ้ทางหนังฮีโรแท้ ๆ

 

รีวิว morbius ความรู้สึกหลังจากดูจบแล้ว

ส่วนตัวหลังจากดูจบ ไม่ได้รู้สึกเซ็งหรือไม่ชอบหนังออนไลน์เรื่องนี้ แต่กลับรู้สึกเฉยๆ และยังพอสนุกไปกับหนังได้พอสมควร ส่วนตัวกลับชอบเรื่องนี้มากกว่า Venom ภาค 2 นะ แต่อยู่ในระดับพอเดียวกับ Venom ภาคแรก ขอเริ่มจากสิ่งที่ห่วยที่สุดของหนังเรื่องนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องบทและการดำเนินเรื่อง เพราะมันล้าหลังมากๆ เหมือนนั่งดูหนังซูเปอร์ฮีโร่สมัยก่อน ทุกอย่างบังเอิญไปหมด และไม่สมเหตุสมผล อย่างเหตุผลที่พระเอกกับตัวร้ายทะเลาะกัน ที่จริงมันเป็นเรื่องเล็กมากๆ ไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลย ตอนดูหงุดหงิดจริง คือแค่พระเอกอธิบายว่าไม่ให้ฉีดเพราะอะไร เรื่องก็ไม่เกิดแล้ว แต่พระเอกดันไม่พูด และไล่เพื่อนไป ซึ่งถ้าตามความจริง เงินที่ใช้ในการทดลองก็คือเงินของเพื่อน ดังนั้นคนที่ออกเงินก็ควรมีส่วนที่จะรู้ไหม ว่าเอาเงินเขาไปทำอะไร แต่บทกลับเขียนมาอีกแบบ คือเหมือนคนเขียนบทจงใจว่ามันต้องเป็นแบบนี้ จะได้มีเรื่องทะเลาะกัน

 

 

นอกจากเรื่องความไร้เหตุผลแล้ว บทน่าจะเล่าเท้าความพระเอกซักนิด ว่าเก่งยังไง ทำอะไรได้บ้าง มาถึงหนังเล่นข้ามเอาๆ ข้ามไปตอนพระเอกได้รางวัล และก็ทดลองเลย ซึ่งก็ไม่ได้ผิดนะ อาจเป็นสิ่งที่เขาจงใจก็ได้ เขาอาจจะอยากเน้นขายฉากแอ็คชั่นเท่ๆ ภาพสวยๆ เพราะกลัวว่าถ้าเล่าเรื่องเยอะแล้วหนังจะออกมาน่าเบื่อ เลยขายความสนุกอย่างเดียว แต่เอาเข้าจริง ล่าสุดนี้ ภาพยนตร์ออนไลน์ The Batman ก็เป็นเหมือนเครื่องพิสูจน์ให้เราได้รู้กันแล้วว่า หนังซูเปอร์ฮีโร่ที่สมจริง และเล่าเรื่องเยอะๆ มันก็สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ ถ้าคุณตั้งใจและทำมันออกมาได้ดีพอ คือถ้า Morbius ใส่ใจกับเรื่องบทมากกว่านี้ หนังมันจะสนุกมากๆเลย

วิเคราะห์ด้านการแสดง

รีวิว morbius ในด้านการแสดงนี่ไม่ต้องพูดถึง เฮีย จาเรต เลโต แบกทั้งเรื่องได้แบบสบายๆ และเป็นสิ่งที่เสียใจมากที่สุด เพราะส่วนตัวค่อนข้างชอบ จาเรต เลโต ในฐานะนักแสดง แต่เหมือนแกเป็นคนอับโชคยังไงไม่รู้ ได้เล่นหนังกี่เรื่อง เจอบทห่วยๆ ตลอด และนอกจากเฮียแก นักแสดงคนอื่นๆก็ทำได้ดีหมด ตัวร้ายก็เล่นได้ดีนะ แต่มันเสียที่บทของตัวร้ายมันงี่เง่าจัดๆ ไม่งั้นคงได้เชิดฉายมากกว่านี้ อีกอย่างคือบทเรื่องนี้มันดูกั๊กๆ คือเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบมันแทบไม่มีอะไรเลย ถ้าให้เล่าแบบสรุปนี่แค่ไม่กี่บรรทัดก็จบละ เหมือนกั๊กเรื่องราวกะเอาไปทำภาคต่อ แต่พอกั๊กแบบนี้หนังมันเลยไม่สนุก

 

ต่อมาส่วนสุดท้ายที่อยากชมและค่อนข้างชอบเลย คืองานภาพ การโปรดักชั่นต่างๆ ซีจี ฉากแอ็คชั่น ที่พูดมาทั้งหมดนี้ เรื่องนี้ทำได้ดีเลย แถมยังมีการเอาเทคนิคที่เคยใช้ใน The Amazing Spider-Man ภาค 2 มาใช้ด้วย ฉากสู้กันเร็วๆ กลางอากาศ และสโลโมชั่น เหมือนกับฉากที่ Spider-Man ของแอนดรูว์ สู้กับ Electro ในภาค 2 เลย แถมเรื่องนี้ยังทำออกมาได้ดีด้วย งานภาพเรื่องนี้สวยมาก มุมกล้องต่างๆก็ทำได้ดี ฉากแอ็คชั่นก็เท่ ทำออกมาได้ดี โทนสีภาพที่ใช้ก็เหมาะก็สร้างบรรยากาศให้หนังใหม่ได้ดี

 

สรุปการ รีวิว Morbius

รีวิว morbius  โดยสรุปแม้ Morbius จะมีคาแรกเตอร์และพล็อตที่น่าสนใจ แต่สุดท้ายตัวบทนี่แหละที่ทำให้ตัวหนังทั้งเชยและขาดเสน่ห์ จนดูเหมือนว่าจะไม่สามารถสร้างเอกลักษณ์ และวางที่ทางของตัวเองในจักรวาลสไปเดอร์-แมนได้สำเร็จ บทป่วย ๆ ทำให้หนังกลายเป็นเพียงหนังซูเปอร์ฮีโรแบบ Old School ที่ถอดคาแรกเตอร์จากคอมิก แล้วก็เล่าเรื่องตามสูตรแบบเด๊ะ ๆ โดยที่ไม่ได้เพิ่มมิติให้กับตัวละคร สอดแทรกประเด็นซีเรียสเหมือนหนังฮีโรยุคปัจจุบัน หรือเพิ่มเสน่ห์เฉพาะตัวให้มีความน่าจดจำได้สักเท่าไหร่

 

 

 

ซึ่งเอาเข้าจริง ถ้าจะดูหนังเรื่องนี้ในฐานะหนังแอ็กชันฮีโรเพลิน ๆ ตะลุยดะไปเรื่อย ๆ แบบไม่ต้องคาดหวังอะไรมาก ก็ถือว่าพอจะถูไถได้อยู่ล่ะนะ

 

แต่ถ้าคุณผู้อ่านเป็นคนที่อินกับความเป็น Marvel และอยากดูเพื่อเชื่อมจักรวาลสไปเดอร์-แมน ซึ่งอันที่จริงมันก็พอจะเชื่อมได้ (ด้วย End Credits ตัวที่ 2) นั่นแหละ

 

 

แต่ถ้าจะดูเพื่อความ Hype ว้าวซ่าน้ำตาแตก ชนิดที่ว่าเดินออกมาจากโรงแล้วคันปากอยากสปอยล์ แนะนำให้ไปดู ‘Spider-Man : No Way Home’ (2021) หรือไม่ก็ข้ามจักรวาลไปดู The Batman (2022) อีกซักรอบน่าจะดีกว่า