รีวิวหนัง Black Adam แบล็ก อดัม

ดูหนังใหม่ชนโรง หนังที่จัดเต็มแอ็คชั่นมากสุดเท่าที่ DC เคยสร้าง Black Adam แบล็ก อดัม หลังรอคอยมานานนับทศวรรษในที่สุดเราก็ได้เห็นไอคอนระดับโลก DWAYNE THE ROCK JOHNSON สวมบทซุปเปอร์ฮีโร่ แถมตัวหนังเองก็ยังคงด้วยคุณภาพของเขาอีกด้วย แอ็คชั่นแบบจุใจ ใส่เต็มไม่มีกั๊ก 

เมื่อแอนตี้ฮีโร่จอมพลัง ถูกปลดปล่อยจากการถูกจองจำและสำแดงฤทธิ์เดชให้โลกได้เห็น ช่วงออกสตาร์ทน่าจะเป็นส่วนที่หนังออกตัวได้ตะกุกตะกักที่สุด ไร้การบิ้วอารมณ์ ผู้สร้างคงรู้ดีว่าการสร้างหนังฮีโร่แบบนี้จำเจแค่ไหน แต่สิ่งที่แฟนๆอยากจะได้เห็นคงจะเป็นการ แบล็ค อดัม เฉิดฉายในจอใหญ่ซะที รวมรีวิวหนัง

Black Adam เดิมคือ เทธ อดัม (Teth Adam) ที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อราว 5,000 ปีก่อน และได้รับพรจากเหล่าพ่อมดให้เป็นผู้ที่มีพลังพิเศษและแข็งแกร่งไร้เทียมทาน เพียงแค่กล่าวคำว่า “Shazam” (อักษรย่อของหกทวยเทพ) นับจากนั้นก็เปรียบเสมือนเขามีพลังของพระเจ้า 

ทำให้ไม่มีผู้ใดสามารถโค่นล้มลงได้ แต่แล้ว เทธ อดัม กลับเลือกใช้พลังนั้นในการแก้แค้นและทำลายทุกสิ่งทุกอย่างแทน ทำให้ถูกคุมขังจนเวลาผ่านไปนาน 5,000 ปี จึงถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งเพื่อท้าทายกับเหล่าฮีโร่ยุคใหม่ที่ถูกเรียกว่า “เดอะจัสติส โซไซตี้”

แหล่งรวมตัวของเหล่าแชมเปี้ยนทำหน้าที่สอดส่องรักษาพิทักษ์โลก แน่นอนว่าเมื่อ Black Adam กลับมา พวกเขาจึงต้องรวมตัวกันต่อสู้ เพราะมองว่า Black Adam ที่มีพละกำลังแข็งแกร่งคือตัวอันตรายที่ไม่มีใครเอาชนะได้ หวาดกลัวว่าสักวันจะสร้างความเดือดร้อนให้คนทั้งโลก

ในโลกปัจจุบัน ดินแดนคาห์นดักที่เคยรุ่งเรืองในอดีตกลายเป็นดินแดนที่เสื่อมโทรม มีคนกลุ่มหนึ่งที่ถูกเรียกว่าแก๊งอินเตอร์มุ่งหมายครอบครองมงกุฎซับบาส มีอาเดรียน่า หญิงสาวอีกคนที่ตกอยู่ท่ามกลางเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ เมื่อจู่ๆ แบล็ก อดัม ถูกปลุกขึ้นมา ก็ทำให้เหล่าฮีโร่นาม จัสตัซ โซไซตี้ ออกปฏิบัติภารกิจผู้พิทักษ์

อาจไม่ใช่หนังซูเปอร์ฮีโรที่จะมาสร้างเซอร์ไพร์สอะไรให้คนดูด้วยตัวมันเองนัก มิหนำซ้ำมันยังเดินตามสูตรสำเร็จแบบหน้าไม่อายทั้งการเริ่มด้วยตำนานเรื่องเล่า ฉากผจญภัยล่ามงกุฏ ฉากแอ็กชันแบบอัดต่อกันซีนต่อซีน และว่ากันตามตรงมันเป็นหนังที่มีแผลเต็มตัวเหวอะหวะเต็มไปหมด

แต่ก็ต้องยอมรับนั่นแหละว่าด้วยความที่นี่คือหนังของ เดอะร็อก ‘Black Adam’ เลยรู้ว่าจุดขายของมันคืออะไรและมันก็มุ่งตรงสู่กลุ่มเป้าหมายที่เป็นแฟน ๆ พระเอกกล้ามโตทั่วโลกแบบเดียวกับที่หนังยุค 90s เคยขายชื่อแอ็กชันสตาร์อย่าง ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน อาโนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ หรือกระทั่ง เฉินหลง

หนังได้บทที่เชยสะบัดเหมือนหนังผจญภัยยุค 80s กลับกลายเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับ ฆัวเม่ โคเล็ต-เซอร์รา ผู้กำกับที่เคยกอดคอกับเดอะร็อกโกยเงินจาก ‘Jungle Cruise’ ปีก่อนมารับหน้าที่กุมบังเหียนโปรเจกต์นี้และเห็นได้ชัดเลยว่า

เซอร์รารู้ตัวว่ากำลังทำหนัง ‘เดอะร็อก’ อีกเรื่อง โดยไม่ลืมจุดขายสำหรับหนังแอ็กชันของฮีโรดีซีสมัยใหม่ด้วยการใช้ภาพสโลว์โมชันแบบเดียวกับ ‘300’ และ ‘Man of Steel’ ของแซ็ก สไนเดอร์ มาผสมกลมกลืนได้อย่างลงตัว

แต่เซอร์ราก็เอาซีนแอ็กชันมากลบถมทับมันแบบอลังการพอที่อย่างน้อย แม้คนดูจะไม่ได้หนังในระดับเดียวกับ ‘Dark Knight’ แต่ก็น่าจะพอสนองนี้ดแฟน ๆ ดีซีที่ตามงานผู้กำกับ แซ็ก สไนเดอร์ ได้แบบพอหายคิดถึง

เป็นหนังที่มีสูตรสำเร็จ ไม่ได้มีความแปลกใหม่มากนัก ยังคงสะท้อนแนวคิดเชิดชูตัวบุคคลตามฉบับหนังซุปเปอร์ฮีโร่ ไม่ออกนอกกรอบ 

โดยเฉพาะการยึดติดกับบทบาทของผู้นำที่แข็งแกร่งและมีพลังอำนาจ แต่ทั้งนี้ก็มีการยกประเด็นทางสังคม ความเหลื่อมล้ำ และการถูกกดขี่เข้ามาในตัวหนัง เพียงแต่อาจไม่ได้เป็นประเด็นที่หนักแน่นมากพอ

อีกทั้งยังมีการตั้งคำถามต่อความดี-ความเลว ว่าสามารถมีอยู่ในตัวซุปเปอร์ฮีโร่ได้มากน้อยแค่ไหน ซุปเปอร์ฮีโร่ที่แท้จริงควรเป็นแบบไหน

เป็นสีขาวบริสุทธิ์เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม แต่กลับนิ่งเฉยต่อความลำบากของประชาชน หรือควรจะเป็นสีเทาที่กล้างัดข้อกับผู้มีอำนาจโดยที่ไม่ต้องสนใจวิธีการ 

รายชื่อทีมเขียนบท เรียกได้ว่าระดมทีมกันไม่น้อย คว้าตัวมาได้ถึง 5 คน ซึ่งเราก็ได้เห็นถึงองค์ประกอบและโครงสร้างที่พยายามทำให้ซับซ้อนในส่วนของบท

แต่น่าเสียดายที่มันยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จได้ที่สุดสักเท่าไหร่นัก คือบทก็ไม่ได้แย่ แต่ก็ยังไม่ได้ดี จัดได้ว่ายังเป็นสูตรสำเร็จเดิม ๆ ของหนังดีซี ที่ขยันใส่และระดมยิงเทคนิคซีจีเข้ามาแบบกระจุยกระจาย

ถือว่าเป็นการกลับสานต่อเส้นเรื่องของจักรวาลหนังดีซีอีกครั้งหนึ่ง ก็ถือว่าให้ผลลัพธ์ออกมาตรงตามมาตรฐานเดิม ๆ ของหนังดีซีที่เคยเห็นกันมา

หนังยังไม่ได้ยกระดับหรือสร้างความแปลกใหม่อะไรให้สักเท่าไหร่ แต่กระนั้นก็มีทีมแคสติ้งนักแสดงชุดใหญ่ที่แท็กทีมกันอย่างทุ่มเท ช่วยพยุงให้หนังเรื่องนี้ดูทรงพลังขึ้นเยอะ

 ทั้งที่หนังยังมีจุดบกพร่องต่าง ๆ อยู่เต็มไปหมด ทั้งบทที่ยังไม่ค่อยสมบูรณ์ การตัดต่อและลำดับภาพที่ประหลาดดีในบางซีน

แม้ว่าตัวหนังจะไม่กล้าแหวกขนบแบบเดิมๆ และตัวเอกเองก็ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงสังคม เพียงแต่สังคมได้รับผลพลอยได้จากการแก้แค้นส่วนตัวที่ทั้งคู่ต่างมีความทรงจำที่รัฐสร้างให้เป็นศัตรู

สิ่งที่หนังตอบโจทย์ที่คนดูต้องการคงเป็นเรื่องของฉากแอคชันที่มีเข้ามาอย่างเต็มอิ่มสมกับความคาดหวังของคนดูหนังแนวนี้ เดินเรื่องกระชับฉับไวไม่เยิ่นเย้อ ไม่ผ่อน ไม่ปล่อยให้หยุดพัก พร้อมกับอัด พลังระดับซูเปอร์ใส่แบล็ก อดัม อย่างเต็มอัตรา เขาปล่อยสายฟ้าได้

 มีพลังมหาศาล กระสุนชนิดใดใหญ่เล็กแค่ไหนก็ไม่ระคายผิว แถมผู้สวมบทบาทยังเป็น ดเวย์น ‘เดอะร็อก’ จอห์นสัน ดาราแม่เหล็กที่หน้าตายเป็นเอกลักษณ์

Black Adam ความยาวประมาณ 2 ชั่วโมงจบแล้ว มีเครดิตท้ายเรื่องให้ชมต่อ ซึ่งถือเป็นไม้เด็ดที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า Black Adam คือหนังที่จะเตรียมปูเรื่องไปสู่จักรวาลอื่นๆ เรื่องราวของซุปเปอร์ฮีโร่ที่ทุกคนรอคอย 

พร้อมทั้งตัวตนและบทบาทของ แบล็ก อดัม ที่ยังคงสร้างความเคลือบแคลงใจให้หลายคนว่า ตกลงแล้วเขาเป็น “วายร้าย” หรือ “ฮีโร่” กันแน่ ซึ่งการเปิดตัวของในฐานะแอนตี้ฮีโร่คนใหม่อย่าง Black Adam ก็ถือเป็นความหวังใหม่ของ DC

ถือว่าเป็นการกลับสานต่อเส้นเรื่องของจักรวาลหนังดีซีอีกครั้งหนึ่ง ก็ถือว่าให้ผลลัพธ์ออกมาตรงตามมาตรฐานเดิม ๆ ของหนังดีซีที่เคยเห็นกันมา หนังยังไม่ได้ยกระดับหรือสร้างความแปลกใหม่อะไรให้สักเท่าไหร่ แต่กระนั้นก็มีทีมแคสติ้งนักแสดงชุดใหญ่ที่แท็กทีมกันอย่างทุ่มเท

คะแนนรีวิวหนัง Black Adam ล่าสุด ทางเว็บไซต์ IMDB อยู่ที่ 7.5 คะแนน ขณะที่เว็บไซต์ Rotten Tomatoes อยู่ที่ 55% ซึ่งถือเป็นคะแนนที่ไม่สูงเลย ทำให้ความเห็นที่มีต่อ Black Adam แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย แต่อย่างไรก็ตามคะแนนวิจารณ์ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองส่วนบุคคล

แต่สำหรับบรรดาแฟนหนังของ DC ก็เชื่อว่า Black Adam เป็นหนึ่งในหนังใหม่ 2022 ที่ไม่ควรพลาด โดยเฉพาะคนที่เฝ้าติดตามเรื่องราวต่อเนื่องของจักรวาลหนังซุปเปอร์ฮีโร่ รวมถึงแฟนหนังของ เดอะร็อก ที่จะได้เห็นเขาสวมบทบาทใหม่ในฐานะแอนตี้ฮีโร่ขาโหด

ประเภท: แอคชั่น / ผจญภัย

ผู้กำกับ: เจาเม โกเยต-เซร์ร่า

นำแสดงโดย: ดเวย์น จอห์นสัน, ซาร่าห์ ชาฮิ, เพียร์ซ บรอสแนน

ความยาว: 124 นาที

กำหนดฉายในไทย: 20 ตุลาคม 2022 (ในโรงภาพยนตร์)