รีวิวหนัง The Point Men ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลก

หนังชนโรง

วันนี้เรามี หนังชนโรง สนุกๆมาแนะนำเพื่อนๆอีกแล้วค่ะกับ รีวิวหนัง The Point Men ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลก เมื่อชาวเกาหลี 23คน ถูกกลุ่มตาลีบันจับเป็นตัวประกัน ในอัฟกานิสถาน รัฐบาลเกาหลีใต้จึงส่งนักการทูตฝีมือดีเข้าไปเจรจาต่อรอง และต้องทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองที่คุ้นเคยกับการทำงานประเทศแถบตะวันออกกลาง

ภาพยนตร์สร้างจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น ในปี 2007  หนังแอ็คชั่น ที่เน้นไปทางแนวเจรจาทางการทูต ซึ่งบทถือว่าคมมากในด้านของบทพูดหรือบทสนทนา ในฉากเจรจาต่อรองถือว่าเป็นฉากที่เมามันส์มาก ทำให้รู้สึกกดดัน ระทึกขวัญ หนังชนโรงแนะนำ

รีวิวหนัง The Point Men ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลก

รีวิวหนัง The Point Men ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลก สงครามการต่อต้านก่อการร้าย

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ปี 2007 ในระหว่างที่สงครามการต่อต้านก่อการร้าย อันเป็นผลพวงจากเหตุโศกนาฎกรรม 9/11 บนแผ่นดินประเทศอัฟกานิสถานกำลังร้อนระอุ 

ชาวเกาหลีใต้ทั้งประเทศก็ต้องตกอยู่ในภาวะอกสั่นขวัญแขวน เพราะอยู่ดี ๆ กลุ่มผู้ก่อการร้ายตาลีบันหัวรุนแรง ได้บุกจับนักท่องเที่ยวที่เป็นมิชชันนารีชาวเกาหลีใต้ จำนวนทั้งหมด 23 คน 

ประกอบด้วยผู้หญิง 16 คน และผู้ชาย 7 คน เอาไว้เป็นตัวประกัน ณ เมืองกัชนี (Ghazni) ในระหว่างที่รถบัสกำลังเดินทางจากเมืองกันดะฮาร์ (Kandahar) ไปยังกรุงคาบูล (Kabul) เมืองหลววงของอัฟกานิสถาน

รีวิวหนัง The Point Men ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลก

ในเวลานั้นกลุ่มตาลีบันได้เสนอต่อรองกับรัฐบาลเกาหลีใต้ ตั้งแต่การเรียกค่าไถ่ ให้ปล่อยสมาชิกกลุ่มติดอาวุธของตาลีบันที่ถูกคุมขัง รวมทั้งถอนทหารเกาหลีใต้ 200 นายออกจากอัฟกานิสถานเป็นการแลกเปลี่ยน

 แม้ตัวประกันชาวเกาหลีใต้จะโดนสังหารไป 2 คน แต่ด้วยการเจรจาทางการทูตกับตาลีบันในเวลานั้น ก็ทำให้ตัวประกัน 21 คนที่เหลือได้รับการปล่อยตัวในที่สุด 

แล้วทั้งหมดก็กลายมาเป็นแรงบันดาลใจสำคัญของหนัง ‘The Point Men’ หรือ ‘ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลก’

การประชันบทบาทกันของ 2 ซุปตาร์หนุ่ม

การประชันบทบาทกันของ 2 ซุปตาร์หนุ่มระดับแถวหน้าของวงการ  ที่จับเอา “ฮวังจองมิน” กับ “ฮยอนบิน” มาร่วมภารกิจสุดระทึก หนังเกาหลีได้หยิบเอาเหตุการณ์ประวัติศาสตร์มาขึ้นจอด้วยงานสร้างที่ทรงพลัง

มาพร้อมกับงานโปรดักชั่นระดับเทียบเคียงกับสากล มีกลิ่นอายแบบเดียวกับหนังฮอลลิวูดเลยทีเดียว  งานสร้างของผู้กำกับหญิง “ยิมซุนรเย” ประสบการณ์การทำงานกว่า 20 ปีออกมาใช้

ที่ถือว่าทำออกมาได้ดีตามมาตรฐาน อาจจะยังไม่ได้มีอะไรโดดเด่นและเปล่งประกายถีงที่สุด เพราะยังมีบางองค์ประกอบที่บั่นทอนตัวหนังไป

การแสดงของ ฮวังจองมิน กับ ฮยอนบิน เป็นเหมือนเพชรเม็ดงามที่ช่วยประคองหนังทั้งเรื่องนี้เอาไว้ได้เป็นอย่างดี การแสดงอันเป็นธรรมชาติและเป็นมืออาชีพของพวกเขา กลายเป็นส่วนประกอบที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้ 

หนังชนโรง

พวกเขาเข้าขากันเป็นอย่างดี แม้ว่าบทบาทในคาแรกเตอร์ที่พวกเขาได้รับนั้นแทบจะไม่ใช่บทที่แปลกใหม่อะไรเลยก็ตาม 

ฮวังจองมิน รู้ดีว่าเขาจะถ่ายทอดบทนี้ออกมาอย่างไร ถึงบทนี้แทบจะเป็นบทบาทที่เขาเคยรับมาบ้างแล้วในหนังเรื่องอื่น ๆ แต่จังหวะการแสดงของเขาก็ยังคงเป็นฮวังจองมินที่เต็มไปด้วยธรรมชาติและการแสดงที่ทรงพลัง

ฮยอนบิน กับบทบาทที่แทบจะไม่มีอะไร แต่ความเท่ระดับตัวพ่อของเขา เป็นหนึ่งในส่วนเสริมที่ทำให้เราแทบละสายตาไม่ได้ 

หนังเรื่องจริงที่อิงจากประวัติศาสตร์

ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริง แต่เล่าเรื่องทุกอย่างผ่านตัวละครสมมติ หนังจะเล่าเรื่องจากเหตุการณ์ภายในประเทศอัฟกานิสถาน เมื่อกลุ่มตาลีบันหัวรุนแรง ได้จับเหล่ามิชชันนารีชาวเกาหลีใต้ 23 คนที่อยู่ระหว่างเดินทางบนรถบัสไว้เป็นตัวประกัน

 กลายเป็นภารกิจของหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ (NIS) ที่ต้องช่วยเหลือตัวประกันทั้งหมดให้มีชีวิตรอดออกมาให้ได้ ทางการได้ส่ง แจโฮ (Hwang Jung-min) นักการทูตสายเจรจา ไปต่อรอง แต่ก็ไม่เป็นผล

รีวิวหนัง The Point Men ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลก

ทำให้เขาต้องจำใจร่วมมือกับ แดซิก หน่วยสืบราชการผู้เชี่ยวชาญพื้นที่ตะวันออกกลางและอัฟกานิสถาน เพื่อช่วยกันเจรจาชิงตัวประกันออกมาให้ได้ โดยมี คาซิม/ลีบงฮัน ล่ามแปลภาษาเป็นตัวกลางในการเจรจา ภายใต้เวลาและสถานการณ์ที่บีบคั้นและอ่อนไหวต่อชีวิตของเหล่าตัวประกันมากขึ้นทุกที ๆ

หนังเกาหลีที่เป็นแนวคู่ปรับที่ต้องมาร่วมมือกันทำภารกิจกู้ชาติ  หนังแนวชิงตัวประกันในพื้นที่สงครามกลางเมืองของประเทศโซมาเลีย

ตัวหนังจะมีเรื่องราว ธีม และโทนหนังที่ดูเผิน ๆ คงนึกถึงปฏิบัติการทางทหารที่ออกไปบู๊ลุยชิงตัวประกัน ออกแนวแอ็กชันแบบที่ชวนให้อดคิดไม่ได้จริง ๆ ซึ่งเอาเข้าจริงตัวหนังกลับมีพาร์ตความเป็นหนังทริลเลอร์ บวกดราม่านิด ๆ มากกว่าจะเป็นหนังแอ็กชันแบบเต็มตัว

เรื่องราว The Point Men ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลก

มันคือเรื่องราวของเล่าด้วย 3 ตัวละครสำคัญ ที่ร่วมมือกันอย่างไม่เต็มใจสักเท่าไหร่เพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติที่กำลังตกไปอยู่ในเงื้อมมือของกลุ่มคนหัวรุนแรง ให้กลับสู่มาตุภูมิอย่างปลอดภัย 

หนึ่งคือ นักเจรจาต่อรองฝีมือดีระดับประเทศที่รัฐบาลเกาหลีส่งมาให้ใช้การทูตแก้ไขสถานการณ์ สองคือ ชายหนุ่มฝ่ายข่าวกรองที่เชี่ยวชาญด้านการรับมือกับสถานการณ์ตัวประกันและพื้นที่ตะวันออกกลาง

รีวิวหนัง The Point Men ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลก

 และสาม คือ คนเกาหลีในพื้นที่รู้ภาษาของพวกตาลีบันที่แม้จะไม่ค่อยเต็มใจนักแต่ก็จำต้องทำเพื่อแลกกับเงิน 

มันคือภารกิจช่วยเหลือตัวประกัน ที่แน่นอนว่าต้องตึงเครียดด้วยมีเวลาเป็นตัวกำกับ และมีความเป็นความตายเป็นตัวเร่ง บทหนังพาเราไปเจอกับสถานการณ์หนึ่ง สอง สาม ที่เข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน และก๊วนหนุ่มตัวเอกของเราจะต้องฟันฝ่าไปทีละด่านโดยไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรเบื้องหน้า

รีวิวหนัง The Point Men ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลก หลังรับชม

หนังเรื่องนี้นับว่าประสบความสำเร็จในด้านการทูต การเจรจาเป็นอะไรที่บันเทิง รวมถึงจังหวะการเล่าเรื่องของหนังทำให้ผู้ชมมีความรู้สึกร่วมไปกับตัวละครด้วย 

ฝีมือการกำกับของผู้กำกับหญิง อิมซุนรเย ที่เคยกำกับหนังใส ๆ ‘Little Forest’ (2018) หรือเวอร์ชันรีเมกหนังญี่ปุ่นชื่อเดียวกัน ความน่าสนใจอีกอย่างก็คงหนีไม่พ้นบรรดา 3 นักแสดงชายเบอร์ใหญ่ที่มาปะทะกัน

การปูเรื่องและวางปมให้กับตัวละครที่ยังทำได้ไม่ถึงนัก ทั้งปมความขัดแย้งของ 2 ตัวละครหลักที่ถูกวางให้ขัดแย้งดราม่ากันในเชิงอุดมการณ์และวิธีการจนไม่กินเส้น แต่ในหนังกลับทำได้แค่แทรกเส้นเรื่องขัดขา ทะเลาะในเชิงแนวคิดระหว่างทาง

หนังชนโรง

มากกว่าจะเป็นการขัดแย้งในการทำงานจริง ๆ อีกจุดที่น่าเสียดายก็คือตัวละครแดซิก ที่มีปมอดีตน่าเจ็บปวด แต่หนังก็ไม่ได้เอามันมาใช้อย่างที่ควรจะเป็น

แม้ในครึ่งแรกจะมีจุดสังเกตเยอะ แต่ในครึ่งหลังก็ถือว่าทำได้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะการเพิ่มปมความตื่นเต้นของการเข้าไปเจรจาโดยตรงกับตาลีบัน ที่เรียกว่าทำได้ถึง

และจุดพลิกล็อกในครึ่งหลังก็ดูจะบีบให้รู้สึกกดดันได้ดีกว่าครึ่งแรกเสียอีก โดยเฉพาะฉากเจรจากับตาลีบัน

หนังเรื่องนี้จะมีข้อสังเกตอยู่บ้าง แต่ก็ถือเป็นหนังที่โดยรวมไม่แย่  ทบางจุดจะทำได้ไม่ถึง ถ้าพูดแบบง่ายก็คือ เป็นหนังที่ทำพาร์ตทริลเลอร์ได้ดีกว่าพาร์ตดราม่า และแม้จะไม่ได้มีแอ็กชันมัน ๆ เน้นสงครามระเบิดตูมตาม

เน้นการสนทนาและเหลี่ยมมุมทางการทูตเสียมากกว่า แต่ก็ถือว่าเป็นหนังเกาหลีที่ทำออกมาได้สนุกสนานและบันเทิง มีสถานการณ์ให้ชวนติดตาม

งานแสดงของ 3 ตัวแสดงหลัก รวมทั้งงานสร้างและบรรยากาศที่ทำออกมาได้สมจริง งานภาพถือว่าสวยใช้ได้เลย เป็นงานหนังเกาหลีที่มีกลิ่นอายความเป็นหนังทริลเลอร์ฮอลลีวูดที่น่าสนใจ

ประเด็นที่หนังต้องการจะสื่อให้ผู้ชมได้รับรู้

หนังเริ่มด้วยภาพความน่ากลัวของพื้นที่ ทั้งร้อนระอุมีแต่เขา หิน และทราย สุดลูกหูลูกตา ถนนเล็ก ๆ ทอดยาวเพื่อข้ามเมืองก็โดดเดี่ยว เอื้อให้กลุ่มกองกำลังติดอาวุธของตาลีบันจับมิชชันนารีชาวเกาหลีใต้ 23 คนบนรถบัสปุโรทั่งไปกักขังตัวไว้ในพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก และยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลปล่อยตัวนักโทษตาลีบันเป็นการแลกเปลี่ยน

หนังตอบโจทย์สนุก มันส์ เข้าถึงง่ายกับตลาดวงกว้าง แต่ไม่ใช่ความคาดหวังแบบบู๊อลัง แอ็คชันกระจาย เพราะหนังไม่ได้ถูกวางจุดยืนเช่นนั้น และความที่อิงเหตุการณ์จริงมา ก็ทำให้รู้ผลลัพธ์ปลายทางอยู่แล้ว แต่โดยรวม หนังก็ยังมีจังหวะความน่าติดตามดี งานภาพสวยงาม

หนังชนโรง

งานซาวน์เป็นไปตามสูตรหนังทริลเลอร์มาตรฐานไม่บกพร่อง เดินบทได้กระชับ ลื่นไหลฉากต่อฉากอย่างได้ลำดับใจความ สะท้อนความจริงของผลประโยชน์การเมือง ระดับประเทศ ระดับข้ามชาติ 

เสียดสีการปกป้องตำแหน่งหรือพื้นที่ของตน ศักดิ์ศรีของนักการเมือง นักการฑูต รวมถึงศักดิ์ศรีตัวตน ขนานไปกับการค่อย ๆ พัฒนาอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอกที่มีจิตสำนึกลึกซึ้งกินใจ หนักแน่นกว่าแค่การปฏิบัติไปตามหน้าที่

ด้วยพล็อตเรื่องของการเจรจาชิงตัวประกัน หรือก่อการร้ายตาลีบัน อาจเป็นเรื่องที่ไม่ตื่นเต้นนักสำหรับยุคนี้แล้ว แต่สำหรับคนเกาหลีอาจมีความอินกว่าด้วยว่าเป็นเหตุการณ์อดีตของเขา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *